ช่วงหลังกระแสไปเที่ยวญี่ปุ่นแรงจริงๆ เราเคยไปครั้งนึงก็ตั้งแต่ม.ต้น ย้อนอดีตไปนานมากจำไม่ค่อยจะได้แล้ว ก็เลยอยากกลับไปอยู่ตะหงิดๆ พอดีกับทาง Air Asia X ออกโปรฯมาให้สอยเมื่อหลายเดือนก่อน หญิงเปิ้ลก็สอยมาได้ซะงั้น (เรื่องเที่ยวชีไม่่เคยทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ  😆 ) สรุปว่าค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ดอนเมือง-นาริตะ + ค่าโหลดกระเป๋า รวมแล้ว 18,686 บาท/2 คน (คนละไม่ถึง 9400 บาท?!) ราคานี้แน่นอนว่าไม่รวมการเลือกที่นั่ง (ทำ web check-in แทน), ไม่มีอาหารบนเครื่อง, รวมทั้งที่นั่งไม่มี PTV  แต่ก็แลกกับการที่ประหยัดไปได้คนละหมื่นกว่าๆสำหรับค่าตั๋วเครื่องบินกันเลย

จริงๆตอนแรกเราอยากไปทัวร์มากกว่า เพราะรู้สึกว่ามันง่าย ไม่ต้องคิดอะไรเลย ไม่ต้องแพลนด้วย ได้เก็บครบทุกที่ที่สำคัญๆ แต่เปิ้ลกลับอยากไปแบบ Back Pack ซึ่งจริงๆข้อดีของมันคือเที่ยว-กินตามใจฉันและประหยัดกว่า … ก็คงต้องชั่งน้ำหนักกันไปว่าทริปไหนจะไปเอง ทริปไหนจะไปทัวร์ แต่ทริปนี้ไปเองนี่บอกได้ว่าเหนื่อยอยู่เหมือนกัน เพราะไม่ค่อยมีเวลาเตรียมตัวกัน แถมไปแค่ไม่กี่วันเพราะเวลามีจำกัด เลยต้องทำเวลามากไปหน่อย ยังไม่พอก่อนไปดันมีพายุไต้ฝุ่นหว่องฟงเข้าญี่ปุ่นพอดี ลุ้นกันวันละหลายรอบว่าจะพ้นโตเกียววันที่ไปมั๊ย สุดท้ายโชคดีมากกกกกกกกก เพราะพายุออกจากโตเกียววันสุดท้ายคือวันก่อนที่เราจะบินพอดี เพราะงั้นทริปนี้ทั้งทริปไม่เจอฝนเลย Yeah!  :mrgreen:

15 October 2014

22:30 ไปถึงดอนเมืองพวกเราก็ทำ Baggage Drop ที่ Counter Air Asia X เลยเพราะทำ Web Check-In มาแล้วก็เลยรอไม่นานเท่าไหร่ (ราวๆ 15 นาที) แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ทำมาก่อนขอบอกว่าคิวยาวมากกกก เพราะ มี group tour ที่ใช้ Air Asia X บินไปญี่ปุ่นด้วย โดยหลังจากผ่าน drop กระเป๋า ได้ Boarding Pass ใหม่มาเรียบร้อยก็กรอกแบบฟอร์มที่ทาง Counter ให้มา ผ่านจุดตรวจและตม.จนเข้ามาด้านในก็ใช้เวลาแค่นิดเดียวเอง

สนามบินดอนเมือง

คุณผู้หญิงเกิดหิว ณ เวลา 5 ทุ่มกว่าๆ ร้านที่ยังเปิดอยู่ก็มี Starbucks กับ S&P เลยเดินเข้า S&P แบบไม่ลังเล สั่งข้าวผัดอเมริกัน กับ Club Sandwich มากินซะงั้น ชีบอกว่าขึ้นเครื่องจะได้หลับสบาย o_O!

S&P ดอนเมือง

กินเสร็จก็ไปนั่งเล่นที่หน้า Gate รอเครื่องออก ตรงนี้มีให้ 2 comment:

1. ห้องน้ำแถว Gate คนล้นหลามมาก เพราะมีไม่กี่ห้อง

2. ที่นั่งรอไม่พอกับผู้โดยสาร

16 October 2014

1:00 Flight XJ600 เครื่องออกแบบตรงเวลา ดูแล้วน่าจะ full flight เพราะไม่เห็นที่นั่งว่างเลย สำหรับที่นั่งอาจจะดูแคบไปนิด แต่พวกเรานั่งได้แบบไม่ได้อึดอัดอะไรมาก แต่ถ้าคนที่ตัวใหญ่ๆสูงๆน่าจะลำบากพอดูเหมือนกัน ที่นั่ง Flight นี้ถ้าแถวตั้งแต่ 44 เป็นต้นไปจะเป็นที่นั่งแบบ 2 ที่ พวกเราก็ได้ที่นั่ง zone นี้จากความสามารถของหญิงเปิ้ล นั่งท้ายแถวหน่อยแต่ก็ดีตรงที่ไม่ต้องนั่งติดกะใคร

ระหว่างบิน เราก็นอนแบบหลับๆตื่นๆ เอาจริงๆคงได้นอนไปแค่ 2-3 ชม. จากเวลาบินทั้งหมด 6:15 ชม. เพราะก่อนเครื่องจะลงราวๆ 2 ชม. เค้าจะเริ่มเสิร์ฟอาหารสำหรับคนที่ต้องการซื้อ หรือสำหรับคนที่จองมา … สรุปก็ไม่ค่อยได้นอนล่ะนะ … พวกเราไม่ได้จองอาหารบนเครื่องนะ ว่าไปแล้วก็ไม่เคยกินอาหารบนเครื่องเลย เพราะอย่างเวลาก่อนขึ้นเครื่องก็จะเสร็จร้านอาหารที่สนามบินจนอิ่มทุกทีทั้งขาไป-กลับ

** รวมรูป flight ขาไป-กลับไว้ด้วยกันเลยละกัน Flight XJ600, XJ601 ภายในครือๆกัน ** 

Air Asia XJ600-601

เครื่องถึงนาริตะก่อนเวลานิดหน่อย (ราวๆ 9:00)  ผ่านตม.ออกมาก็ไปรับกระเป๋า ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วก็ไปซื้อตั๋ว Keisei Skyliner เพื่อเข้าเมืองโดย Counter ขายตั๋วนี่ถ้าเราเดินผ่าน Custom ออกมาด้านนอกแล้วก็จะเห็น Counter อยู่ตรงหน้าเลย ส่วนตั๋ว เราเลือก Skyliner แบบ เป็น Package ไป-กลับ พร้อม Tokyo Subway 1 day pass ราคาคนละ 4,700 Yen (แบบนี้จะใช้ได้กับรถไฟใต้ดินสาย Toei & Metro) ไปลงที่สถานี Ueno ที่เราจองโรงแรมกันไว้แบบต่อเดียวถึง สะดวกมากๆ  ใช้เวลาประมาณ 40 นาที โดยตั๋วจะระบุที่นั่งไว้ให้เลย ตอนออกตั๋วเค้าจะบอกเวลาที่รถออก พร้อม Car No. & Seat No. ไว้ให้แล้ว เราก็ต้องทำหน้าที่ไปขึ้นรถให้ถูก & ทันเท่านั้นแหล่ะ

Note: สำหรับตั๋ว Skyliner ถ้าไปซื้อหน้า counter ราคาเที่ยวละ 2,470 Yen ถ้าซื้อเป็น E-Ticket ก่อนไปจะเหลือเที่ยวละ 2,200 Yen แต่ถ้าซื้อเป็น Package อย่างของเรา ไป-กลับ พร้อมกับ Metro Pass ก็ไปซื้อหน้า Counter ได้เลย ตั๋ว 1 day pass นี่แค่เอาไปนั่งรถไฟไป-กลับสัก 2 สถานีก็คุ้มแล้ว แนะนำ Package นี้เลย โดยสำหรับ  Air Asia X เราจะนั่ง Keisei ไป-กลับจาก Terminal 2

Narita Airport Terminal 2

ระหว่างทางเดินไปรอขึ้นรถ ขอประเดิมตู้กดน้ำหน่อย เราขอ Capuccino กระป๋องของ Tully’s เป็น kick-start ตอนเช้า (รสชาติเบาๆบางๆงั้นๆ) ส่วนเปิ้ลจัดชา (ตลอดทริปนี้ดูคุณนายปลื้มปริ่มรสชาติชาที่ญี่ปุ่นนี่มาก … กลับไปจะกิน Ichitan & Oishi ได้มั๊ย???)

พอได้เวลาตามในตั๋วเป๊ะๆ รถไฟก็มา ตรงเวลาสุดๆอ่ะ ที่นั่งกว้างสบายดี รถไฟวิ่งทั้งเร็วทั้งนิ่ม อยากให้รถไฟไทยทำได้แบบนี้บ้าง จะได้กลับไปนั่งหลังจากเคยนั่งครั้งเดียวในชีวิตเมื่อตอน 6-7 ขวบแล้วก็ไม่มีความคิดอยากกลับไปนั่งอีกเลย

Keisei Skyliner

Keisei Skyline นี่จะจอดแค่ 2 สถานคือ Nippori และ Ueno เพราะงั้นคนที่จองที่พักแถว Ueno ไว้นี่จะสบายมากเพราะต่อเดียวถึงเลย ตัวสถานีพอเดินออกมาก็จะอยู่ติดกับทางเข้า Ueno Park เยื้องๆกันก็จะเป็นตลาด Ameyoko

Ueno Keisei

เราเริ่มจากไป check-in โรงแรมเพื่อฝากกระเป๋ากันก่อน โรงแรมที่พักชื่อ Sutton Place Ueno วิธีไปนี่ก็ไม่ยาก แต่เดินกันประมาณนึงเลยแหล่ะ พอออกจาก Keisei Station เดินเลี้ยวซ้าย ข้ามถนนไปฝั่ง JR Station ถ้าหันหน้าออกจาก JR โดยฝั่งตรงข้ามเป็น Ameyoko ก็ให้เดินไปทางซ้ายมือเรื่อยๆอีกราวๆ 10 นาที ระหว่างทางเดินผ่านโรงแรม Hotel New Ueno ทำเลดีมาก เพราะห่าง JR Station มานิดเดียว เก็บเข้าลิสต์ไว้เป็นตัวเลือกทันทีสำหรับครั้งหน้า! ส่วนระยะทางที่เราเดินกันไปที่โรงแรมตอนแรกก็รู้สึกว่าโอเคนะ มันก็ไม่ได้ไกลมาก แต่วันหลังๆเริ่มรู้ซึ้งก็ตอนที่ต้องหอบหิ้วของที่ซื้อมา (แบบหนักๆ) เดินจาก JR กลับโรงแรมเนี่ยะ  😐

เราจะพักกันทั้งหมด 3 คืนที่นี่ จองมาล่วงหน้าเป็นเดือนได้เรทสำหรับ 3 คืนที่ 33,020 Yen ก็ราวๆ 10,3xx บาท ตกคืนละสามพันกว่าๆ ถือว่าโอเคเลย ที่นี่มีอาหารเช้าง่ายๆให้ด้วย (แต่ไม่เคยได้กินเพราะมาถึงญี่ปุ่นแล้วเราก็ต้องไปหาไรอร่อยๆกินดิ) ส่วนที่ชั้น 2 จะมีตู้กดน้ำอยู่ด้วย ไม่ต้องออกไปซื้อข้างนอก แถมมีเครื่องทำน้ำแข็ง/แก้วพลาสติก/ชาเขียว/กาแฟฟรี ไว้ให้ด้วย แจ่มมากกกกกก … พอเรา Check-in ฝากกระเป๋า กันเสร็จเรียบร้อย ก็ออกไปตะลุยกันตามโปรแกรมได้เลย

** ไหนๆก็ไหนๆใส่รูป lobby & รูปห้องรวมกันทีเดียวเลยละกัน **

Sutton Place Ueno

แผนแรกที่ตั้งใจไว้สำหรับวันนี้คือไปวัด Sensō-ji (金龍山浅草寺) ที่ทุกคน/ทุกทัวร์ที่มาโตเกียวต้องไป วิธีไปคือต้องนั่งรถไฟไปลงสถานี Asakusa เราได้ตั๋ว Metro 1 day pass มาจาก package ที่ซื้อกับตั๋ว Skyliner ก็เลยกะว่าจะใช้มันวันนี้แหล่ะ วิธีไปถ้าดูจาก Map ก็ต้องนั่งสายสีส้มไป 3 สถานี แป๊บเดียวก็ถึงละ (Download Full Tokyo Metro Map)

Ueno_Metro_Map

 

ออกจากสถานีมาก็จะเจอประตู Kaminarimon หรือ ประตูสายฟ้า (雷門) จุดนี้มีคนถ่ายรูปกันเยอะมาก มีโคมแดงยักษ์อยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยยักษ์ 2 ตัวซ้าย-ขวา เราจะต้องเดินผ่านประตูนี้เพื่อเดินเข้าไปในตัววัด โดยเดินผ่านถนนนากามิเซะ (Nakamise-dori) ที่ขายของฝาก ของที่ระลึก ขนมต่างๆเพียบ คือกว่าจะเดินเข้าไปถึงตัววัดก็อาจจะอิ่มพอดี

ถนน Nakamise
พวกเรายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันเลย เริ่มหิวแล้วด้วย เลยจะหาไรกินกันก่อนที่จะเข้าไปในตัววัด ตอนแรกตั้งเป้ากันว่าจะไปกินร้านเทมปุระเก่าแก่ของที่นี่ แบบว่าพยายามตั้งใจเดินหากันมากๆ สุดท้ายก็เจอนะ แต่คิวยาวเชียว แล้วตอนนั้นคุณนายเปิ้ลเริ่มจะโมโหหิวเล็กๆ (เค้าเริ่มมา …) เลยไม่รอละ (ขนมรองท้องคุณนายก็ไม่กินนะ บอกว่ากินแทนของคาวไม่ได้!) เลยเดินหาร้านที่จะกินข้าวกันแต่ก็ไม่ลงตัวสักที จนในที่สุดก็ไปเจอร้านนึงอยู่บนถนนด้านหน้าสายหลักเลย หน้าตาเมนูดูผ่าน จัดเลย ชื่อร้านภาษาอังกฤษว่า Kamiya

วิธีการคือเราต้องไปสั่งอาหารและจ่ายเงินที่แคชเชียร์ก่อน แล้วจะได้ ticket มาให้เด็กเสิร์ฟอีกที เราสั่ง Hamburg ส่วนเปิ้ลสั่งกุ้งเทมปุระ รสชาติอร่อยกว่ากินเมืองไทย แต่ก็ไม่ถึงกับ wowww  ข้อดีของร้านอาหารเกือบทุกร้านในญี่ปุ่นคือเราไม่ต้องสั่งน้ำ เพราะเค้าจะมีไม่น้ำเปล่าก็น้ำชาให้อยู่แล้ว ทิปก็ไม่ต้องให้อีกตะหาก ส่วนข้อเสียคือถ้าไปร้านที่ local มากๆไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ + ไม่มีรูปอาหาร + พนักงานพูดอังกฤษไม่ได้นี่คือไม่ต้องกิน … แนะนำว่าไปหาร้านอื่นเอาซะจะดีกว่า ^^”

Kamiya Restuarant at Asakusa

กินกันเสร็จก็เดินกลับไปที่ถนนนากามิเซะ เดินเล่นดูร้านขนม ทั้งไอศกรีม ชาเขียวเย็น ขนมเซ็มเบ้ ขนมของฝากรูปโดราเอม่อน จนมาถึงร้านซาลาเปาทอดที่เห็นๆกันตามรีวิวเลยต้องลองสักหน่อย เค้ามีให้เลือกหลายไส้นะ แต่เราสั่งไส้ถั่วแดงกับไส้ครีมมาลอง รสชาติธรรมดาทั่วไป สรุปว่าตามที่เห็นกินกันเยอะๆในรีวิวนี่คือกินกันตามกระแสป่ะเนี่ยะ (และเราก็เป็นหนึ่งในนั้น?!)

ของกินบนถนน Nakamise

ต่อด้วยการไปไหว้พระ ขอพร (ให้รวยๆเฮงๆ) กัน ชอบวิธีจุดธูปของที่นี่จัง เค้ามีที่จุดธูปให้เลยแบบไม่เป็นเปลวไฟ ง่ายดี ไม่อันตรายด้วย

Sensoji Temple

เสร็จแล้วก็ออกมาถ่ายรูปแถวๆนั้นกัน จากภายในบริเวณวัดนี่มองไปจะเห็น Tokyo Sky Tree ด้วยนะ แต่เพราะเปิ้ลไม่ค่อยถูกกับความสูงเท่าไหร่ เราเองก็เฉยๆ เลยไม่ได้ไปกัน

Sensoji Temple

Sensoji Temple
ใครมาที่วัด Sensoji นี่ขอแนะนำว่าห้ามพลาดเมล่อนปัง เด็ดขาด?! ร้านนี้ถ้าหันหน้าออกจากวัดจะอยู่เยื้องไปทางซ้ายมือ เป็นตรอกเล็กๆ แต่หาไม่ยากเลย เพราะคนเข้าคิวยืนรอซื้อตลอดเวลา เราเคยกินเมล่อนปังที่เมืองไทยนะ แต่เทียบไม่ได้สักกะติ๊ดของที่นี่เลยจริงๆ ขนมปังชิ้นใหญ่มากแต่กินหมดแบบรวดเร็ว ตามด้วย soft cream ที่ซื้อมาจากร้านข้างๆที่รสชาติงั้นๆ

MelonPan & SoftCream at Asakusa

ออกจากวัด Sensoji แล้วเรานั่งรถไฟกลับมาที่ Ueno เพื่อจะไปเดินเล่นกันใน Ueno Park ในสวนสาธารณะนี้ใหญ่มาก มีทั้ง Museum หลายแห่ง รวมทั้งศาลเจ้า และสวนสัตว์ด้วย แบบว่าถ้าชอบเดินเล่นชมวิว ถ่ายรูป หรือเดินจีบกัน มาที่นี่สามารถใช้เวลากันได้ทั้งวันเลยล่ะ แต่พอดีเวลาเรามีน้อย เลยแค่เดินเล่นกันได้ไม่นานเท่าไหร่

Ueno Park

ออกจาก Ueno Park แล้วแค่ข้ามถนนไปนิดเดียวก็จะเจอ ตลาด Ameyoko ละ ไปลุยตลาดหาของกินกันต่อเลย เดินไปก็ตื่นตาตื่นใจไปกับบรรดา Game Center ที่มีอยู่หลายร้าน มีพวกตู้คีบตุ๊กตา เครื่องเล่นเกมส์ รวมทั้งร้านปาจิงโกะด้วย สองข้างทางมีทั้งร้านอาหาร ของกินเล่น เสื้อผ้า กระเป๋า ชุดกีฬา รองเท้า เครื่องสำอางค์ ฯลฯ อากาศช่วงที่ไปกำลังดีเลย อยู่ที่ราวๆ 20-22 องศา สวมเสื้อแขนยาวหรือ jacket บางๆตัวเดียวเอาอยู่

Ameyoko

เดินเจอร้านทาโกะยากิในตลาด เห็นคนกินกันเพียบ เลยต้องขอลองบ้าง ร้านนี้จะอยู่ติดกับร้านข้าวหน้าปลาดิบที่ราคาถูกมาก เหมาะสำหรับสาวกปลาดิบจริงๆ แต่เราไม่ได้ into ปลาดิบ เพราะงั้นเลยจัดแค่ทาโกะยากิอย่างเดียว ร้านนี้เค้าให้เติมเครื่องเอง มีน้ำให้บริการตัวเองด้วย รสชาติก็อร่อยดี ให้เป็นรอง Gindaco ติ๊ดดดดเดียว ^^

Takoyaki at Ameyoko

กินรองท้องไปแล้วก็ต้องต่อด้วยของหนักเป็นข้าวๆบ้าง เดินผ่านร้านนี้เมนูน่ากินดี จัดเลย อร่อย ไม่แพง แจ่มมมมม!

Dinner at Ameyoko

อิ่มแระก็ต้องเดินย่อย เลยนั่งรถไฟไปดูย่าน Akihabara  ซะหน่อย นั่งรถไฟไปแค่ 2 สถานีก็ถึงแล้ว พอเดินออกจากสถานีก็จะเจอห้าง Yodobashi-Akiba ที่ขายบรรดาเครื่องไฟฟ้าทั้งหลายอยู่ตรงหน้า ช่วงที่ไป iphone 6/6 plus ยังไม่เข้าเมืองไทย แต่มีขายที่ญี่ปุ่นแล้ว ก็เลยได้โอกาสไปลองเล่นดูด้วย ห้างนี้มีขายพวกมือถือ อุปกรณ์ electronic กล้อง เกมส์ ชั้นของเล่นยังมีพวกตู้หยอดเหรียญ ตู้เกมส์เพียบ เดินเล่นดูกันได้ไม่มีเบื่อ

ออกจาก Yodobashi ก็เดินไปสำรวจตามถนน จะเจอพวก Game Center อย่าง Sega ทีใหญ่มาก เป็นตึกมีหลายชั้น เกมส์เพียบ แล้วก็ยังมีร้านเกมส์อื่นๆ รวมทั้งร้าน Maid Dreamin’ ด้วย มีน้อง Maid มาเรียกลูกค้ากันที่หน้าร้านเลย แถวนี้มี ร้าน Sex Shop ด้วย บอกพิกัดให้สำหรับคนที่อยากไป เอาง่ายๆไม่ไกลสถานีก็จะมีเป็นร้านอยู่ข้างๆตึก Sega ชื่อร้าน Love Merci เดินเข้าไปดูนี่แบบว่าตื่นตาตื่นใจ + ฮาดีจริงๆ ผู้ชายที่นี่ท่าจะเครียดมาก ของเล่นจาก sex shop เลยอลังการหลากหลายสุดๆ

Akihabara

เดินเล่นย่านนี้กันพักใหญ่ก็กลับมาซื้อของฝากกันที่ตึกม่วงทาเคยะ (Takeya) ที่ Ueno แหล่ง shop ของฝากยอดฮิตของคนไทย ที่นี่จะมีตึกอยู่ติดๆกันหลายตึก สำหรับสินค้าบางอย่างเราขอคืน Tax ได้ด้วย โดยที่เค้าจะ pack ของเราให้เลย ห้ามแกะใช้ในประเทศ แต่ราคาของจะค่อนข้างถูกกว่าที่อื่นเพราะได้ลดภาษี เราได้ของที่ท่านแม่บัญชาให้ซื้อไปให้หลายอย่างจากที่นี่ ทั้งเครื่องสำอางค์ รวมทั้งพวกกาแฟ ขนมของฝากอื่นๆ

ณ จุดนี้พวกเราก็ได้ฤกษ์กลับโรงแรมสักที แบบว่าตอนนั้นก็สี่ห้าทุ่มได้แล้ว เมื่อคืนบนเครื่องบินก็นอนกันได้แค่ 2-3 ชม.เอง กลับไปนอนเอาแรงเตรียมตัวไป Disney Sea พรุ่งนี้ท่าจะดีกว่า ไปถึงโรงแรมรับกุญแจห้องเปิดเข้าไปอึ้งไป 3 วิฯ … ก็รู้นะว่าโรงแรมในโตเกียวมันเล็กมากเกือบทุกที่ แต่พอมาดูจริงๆก็แบบว่าเฮ้ยเล็กไปมั๊ย เดินสวนกันแทบไม่ได้ ตู้เสื้อผ้าไม่มี แต่ห้องน้ำดันมีอ่างอาบน้ำ -_-” (คงเพราะคนญี่ปุ่นเค้าชอบแช่น้ำกัน แต่แบบว่าตรูไม่ต้องการ ขอพื้นที่ใหญ่ขึ้นได้ม๊ายยยยย) ตอนที่เคยมาโตเกียวเมื่อนานมาแล้ว ก็จำได้ว่าห้องที่ญี่ปุ่นนี่มันเล็กแฮะ แต่นี่โตกว่าเดิม ยิ่งเล็กหนักเข้าไปใหญ่ >_< เอาวะ เตียงนอนสบายใช้ได้ จะอภัยให้ (แบบจำใจ) ก็ได้

17 October 2014

วันนี้เป็นวันที่เราจะไป DisneySea กัน ตอนแรกคุยกันดิบดีว่าจะตื่นแต่เช้า สรุปตื่นจริง 10 โมง แห่ะๆๆ รีบอาบน้ำแต่งตัวไปจัดมื้อแรกที่แพลนกันไว้แล้วว่าจะกิน Ichiran Ramen ที่อยู่ตรง Ueno JR Station เลย ตัวร้านจะอยู่ด้านนอกของสถานี สามารถเดินเลียบด้านนอกไปเรื่อยๆก็ได้ หรือจะเดินจากภายในสถานีแล้วค่อยออกมาโผล่ข้างๆร้านก็ได้ โชคดีไปถึงร้านตอนก่อน 11 โมง เลยไม่มีคิว  วิธีการสั่งราเมงร้านนี้คือหยอดตู้กดเอาเอง ซึ่งไม่ยากอ่ะ เพราะเมนูร้านนี้น้อย ใส่เงินเสร็จ กดสิ่งที่เราอยากกินได้เลย พวกเรากดสั่งราเมง+ไข่+เพิ่มหมูชาชู เหมือนกัน เรียบร้อยแล้วตู้กดก็จะออก Ticket + เงินทอนมาให้ เสร็จแล้วก็ไปหาที่นั่งที่จะเป็นแบบคอกใครคอกมัน (ไม่รู้จะใช้คำไหนแทนคำนี้อ่ะ ^^”) คอกไหนว่างก็ไปนั่งแล้วขอข้อสอบจากพนักงานเป็นภาษาอังกฤษมาทำได้เลย ของเราจะเลือก Regular/Normal ซะเกือบหมด สำหรับความเผ็ดเนี่ยะ แนะนำว่าคนที่ไม่เคยทานอย่าเพิ่งบ้าพลังเพิ่มความเผ็ดไปหลายๆระดับ เพราะแบบ Normal ของเค้าก็ค่อนข้างเผ็ดอยู่แล้ว

ทำข้อสอบเสร็จก็ยื่น Ticket ที่กดจากตู้ + ข้อสอบให้พนักงานได้เลย ระหว่างนั้นเราก็กดน้ำกินเองได้ เพราะภายในคอกของเราจะมีก๊อกให้รินน้ำเองได้อยู่แล้ว รอไม่นานก็ได้กิน ซดไปคำแรกปลื้มปริ่มมากกกกกกกกกกกกก รสชาติน้ำซุปอร่อย ชื่นใจ คือมันแบบว่าลงตัวอ่ะ เอาจริงๆคือชอบพอๆกับ Bankara ชามแดงที่เมืองไทยน่ะแหล่ะ แต่สำหรับ option ที่เลือกไปที่นี่เราว่าตัวน้ำซุปนี่เราได้รสชาติกำลังลงตัวพอดี + รสออกเผ็ดๆจากตัว red sauce ของทางร้านทำให้รสชาติน้ำซุปเด่นมากขึ้นไปอีก ชอบมากกกก ตัวเส้นเป็นเส้นออกเล็กๆแบบที่เราชอบอยู่แล้ว สั่งเป็น Medium ไม่แข็งไม่นิ่มไป แต่คิดว่าครั้งหน้ามาอาจจะลองเปลี่ยนเป็นแบบ Firm ดู เพราะตอนกินคิดว่าอยากได้เส้นแข็งขึ้นอีกติ๊ดนึง สรุปว่าร้านนี้อร่อยสมกับที่ตั้งใจมากินจริงๆ + การกินราเมงตอนเช้านี่มันทำให้ร่างกายมีพลังแบบบอกไม่ถูกด้วย (มโนฯไปเองป่าวฟะเรา????)

Ichiran Ramen

สบายพุงกันละก็ไปเที่ยวได้สักที วิธีการไป DisneySea จาก Ueno ก็ตามนี้ โดยราคาตั๋วทั้งหมด = 650 Yen/เที่ยว/คน (รวมค่าตั๋ว Disney Resort Line คนละ 260 Yen แล้วนะ)

JR Ueno -> Tokyo Station -> Maihama -> ต่อด้วย Disney Resort Line ไปลงสถานี Tokyo Disney Sea Station

Trip นี้เราจะใช้บริการ JR กันอยู่แค่ตามรูปด้านล่างคือแค่สาย Keiyo Line สำหรับวันนี้ กับสาย Yamanote Line สำหรับเที่ยววันพรุ่งนี้ แต่จริงๆ JR นี่มันครอบคลุมสถานีเยอะมาก (Download JR East Map)

JR Map - Keiyo & Yamanote Line

มากันจนถึง Park ก็ราวๆเที่ยงครึ่งละ แดดกำลังตรงหัวเลย (ได้ข่าวว่าตอนไป Disneyland Hong Kong ก็ไปถึงราวๆนี้ -_-“)  สำหรับ Tips ในการมาเที่ยวที่นี่สำหรับเราขอ note ไว้ตามนี้

  • Check สภาพอากาศกันก่อน + พยากรณ์จำนวนคนที่จะมาเที่ยวกันก่อน ได้ที่ web นี้ จะได้เลือกวันให้ไม่ต้องเจอกับมวลมหามนุษย์ให้เซ็งจิตตอนไปเที่ยว –> เราเลือกมาแระว่า 1. วันนี้อากาศดี 2. จำนวนคนที่เข้า Park น้อยกว่าวันอื่นๆ
  • เช็ค Operating Hour ของ Park เพราะบางวันเค้าอาจจะปิดเร็ว ซึ่งเราพลาด ไม่ได้เช็คตรงนี้มา ปกติมันจะปิด 22:00 แต่วันนี้ดันปิด 18:30!! เพราะยังงี้นี่เองคนมันเลยน้อยกว่าวันอื่นๆ T-T แต่ยังดีที่เราไม่ได้กะจะเก็บทุกเม็ดอยู่ละ เลยไม่ได้เสียดายอะไรมาก
  • แพลนมาก่อนว่าอยากเล่นเครื่องเล่นอะไรบ้าง ดู show อะไรบ้าง จะได้จัดสรรเวลาถูก โดยข้อมูลทั้งหมดเราสามารถหาได้ที่ DisneySea Website –> แต่พวกเราไม่ได้แพลน + ศึกษาข้อมูลอะไรกันมาเลยสักกะติ๊ด ทำให้ค่อนข้างงง และเสียเวลามากเหมือนกัน
  • เราสามารถไปเอา fast pass ของเครื่องเล่นยอดนิยมต่างๆได้ แต่จะกดได้ทีละแค่เครื่องเล่นเดียวเท่านั้น คือไม่ใช่เดินไปกดๆทุกที่ได้พร้อมๆกัน เราต้องรอผ่านเวลาเครื่องเล่นที่เรากดไปก่อนถึงจะกดอีกที่นึงได้
  • ถ้าไม่อยากรอคิวซื้อตั๋วให้เสียเวลาก็แนะนำให้ซื้อตั๋วก่อนไปโดยจะซื้อจากเมืองไทยไปตาม agency ต่างๆเช่น H.I.S. หรือซื้อที่ Disney Store ในย่าน shopping อย่างชิบูย่า หรือ ชินจูกุ ก็ได้ เราเองก็ซื้อตั้งแต่ที่เมืองไทย ในงานท่องเที่ยวญี่ปุ่น ตั๋ว 2 คนราวๆ 4100
  • อย่าลืมขอแผนที่ภาษาอังกฤษกับเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วด้วย เพราะเป็นคัมภีร์ในการเที่ยวที่นี่ว่าเครื่องเล่น, zone, show time ต่างๆ รวมทั้งของกินอยู่ตรงไหน ถ้าทำหายระหว่างเดินเที่ยวให้ไปขอใหม่ได้ที่ร้านขายของที่ระลึกต่างๆ (เพราะเราเองก็ทำหาย แห่ะๆ)

เริ่มเข้าไปใน park กันได้สักที พวกเรามี Ticket ที่ซื้อมาจากเมืองไทยอยู่แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม ใช้บัตรนั้นผ่านจุดตรวจเข้าไปได้เลย ที่ DisneySea ก็จะเหมือนกับ Disneyland คือจะแบ่งเป็น zone สามารถเดินวนรอบได้ แต่ละ zone มี theme และเครื่องเล่นต่างๆกันไปตามรูป (รูปเอามาจาก website DisneySea)

DisneySea-Map

เนื่องจากพวกเราไม่ได้ศึกษากันมาก่อนว่าจะเล่นเครื่องเล่นอะไร ที่นี่มี zone อะไรบ้างอย่างที่บอก แถมยังมาถึงซะสายโต่ง + เวลาปิดวันนี้ยังเร็วอีก (18:30) เพราะงั้นนับๆดูแล้วเรามีเวลาเที่ยวเล่นอยู่ในนี้แค่ 6 ชม.เองนะ แต่ก็ยังไม่วายใจเย็นเดินเล่นไปเรื่อยๆ แบบเจออะไรน่าเล่นก็ค่อยเล่นละกัน เริ่มจากถ่ายรูปเล่น เก็บบรรยากาศก่อน ตอนเดินเข้ามาเราจะอยู่ที่ zone Mediterranean Harbor เราเดินไปทางซ้ายผ่าน American Waterfront ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ข้อดีของการมาเดือนตุลาฯก็คือว่าหลายๆที่ในญี่ปุ่นเค้ามีการตกแต่งต้อนรับ Halloween กันด้วย ถ้ามาเดือนอื่นๆไม่มีนะเนี่ยะ ^^
DisneySea

เดินไปจนถึง StormRider ที่อยู่ใน Port Discovery เห็นคิวยาวเชียว เลยไปกด FastPass มาก่อน ระหว่างนี้เราก็เดินกันต่อไปที่ Lost River Delta เพื่อเข้าคิวเล่น  Indiana Jones® Adventure: Temple of the Crystal Skull ถือว่าคิวน้อยละ รอประมาณ 45 นาทีก็ได้เล่น แต่คุ้มค่ารอมาก แบบว่าสนุกมากอ่ะใครมา อย่าพลาด!!! 

DisneySea

ออกมาเดินมั่วๆไปถึง Arabian Coast เครื่องเล่นใน zone นี้จะออกเด็กๆ ส่วนพวกเราก็ขอเด็กสักหนึ่งอย่าง เลือกเข้าไปนั่งเรือพักเหนื่อยกันใน Sindbad’s Storybook Voyage ที่นี่ให้อารมณ์เหมือนๆกับ Small World ของ Disneyland เลยแหล่ะ คือนั่งเรือชมตุ๊กตาไปสองข้างทาง แต่ของที่นี่จะเป็นการเล่าถึงการผจญภัยของซินแบดแทน ถ้าเหนื่อยๆแวะมานั่งเรือเล่นที่นี่ก็ดีนะ ตอนเราไปไม่มีคิวเลยด้วย 555

Tokyo DisneySea

หลังจากนั้นก็มาเดินเล่นถ่ายรูป ชิมขนมนู่นนี่นั่นไปเรื่อย อย่าง Popcorn รส Curry และ Caramel, Black Gyoza Dog,  Churros,  Eukiwa Buns (Donald Duck Life Preserver steamed shrimp buns) อร่อยทุกสิ่งอย่าง เว้น Churros ที่เคยกินอร่อยอยู่ที่เดียวคือ Disneyland USA (ผิดหวังมาจาก Disneyland HK ด้วยเหมือนกัน T-T)

Tokyo DisneySea Snack
Tokyo DisneySea
กินเสร็จได้เวลาไปเล่น StormRider ตามบัตร FastPass ที่กดมาพอดี ไอ้เครื่องเล่นอันนี้จริงๆมันคือเครื่องเล่นแบบ simulation น่ะล่ะ จำลองเหตุการณ์ว่าเราขึ้นเครื่องบินฝ่าเข้าไปในพายุ แต่แบบว่าไม่เห็นสนุกเลยง่ะ ถ้าไม่มีคิวจะมาลองเล่นดูก็ได้นะ แต่ถ้าคิวยาวก็ไปเล่นอย่างอื่นเหอะ ^^”

ออกจาก StormRider แบบเฟลๆ เดินต่อไปที่ Mysterious Island เพื่อไปเล่น  Journey to the Center of the Earth รอคิวยาวนานประมาณ 45 นาทีเหมือนกัน แต่ไอ้เจ้านี่ recover ความรู้สึกที่เฟลจาก StormRider  เมื่อกี๊ได้เลย  สนุกดี มีเสียวตอนสุดท้ายด้วย เสียดายที่สั้นไปหน่อย เป็นอีก 1 เครื่องเล่นที่มาแล้วไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง!!!

มาถึง show ต่างๆที่ยังไม่ได้ดูเลยสักกะอัน ก็เวลามีแค่ 6 ชม. เองง่ะ T-T สุดท้ายเราเลยเลือกไปดู Big Band Beat ที่ Broadway Music Theatre กัน Show นี้เป็นแนว Musial Broadway คนที่ชอบดูแนวนี้ต้องชอบเพราะทำออกมาได้ดีเลย มีวงดนตรี Jazz แบบ Full Band เพลงจะเป็นย้อนยุค มีพวกตัวการ์ตูนออกมา dance แจมกับคน จะถือว่ามานั่งฟังเพลง หรือนั่งพักเหนื่อยก็ได้ แนะนำๆสำหรับคนชอบฟังเพลง แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบเพลงแนวแจสๆเก่าๆอาจจะหลับคาที่นั่งได้ แบบว่าเที่ยวมาเหนื่อย ที่นั่งสบาย แอร์เย็น เพลงเพราะ องค์ประกอบครบ 555++

ดู Big Band Beat จบก็ 6 โมงหน่อยๆ ใกล้ปิด Park ละ พอดีเค้ากำลังมี show Fantasmic! พอดี เราเคยดู show นี้ที่ Disneyland USA แบบว่าอลังการมากๆ ที่นี่ show จะแนวๆเดียวกัน แต่ความอลังฯสู้ที่ USA ไม่ได้ เพราะสถานที่เล็กกว่าด้วย แต่ก็ถือเป็น show ที่ควรจะดูนะ เพราะแสงสีสวยมาก มีจุดพลุเป็นระยะๆด้วย แต่พวกเราดูกันไม่จบ คือรีบออกก่อนจะได้ไม่ต้องเบียดเสียดที่กลับออกมาพร้อมๆกัน สรุปว่าเป็นวันที่สนุกดี ประทับใจที่นี่มากกว่าตอนที่ไป Disneyland HK มาก

Tokyo DisneySea

กลับมาตั้งต้นกันที่ถิ่นเดิม Ueno เดินหาไรกินแถวๆ Ameyoko จริงๆร้านน่ากินมันก็หลายร้านนะ แต่เปิ้ลอยากกินพวกข้าวหน้าต่างๆ แต่ร้านแถวๆนั้นส่วนใหญ่จะเน้นซูชิ ปิ้งย่าง ราเมง เลยเดินดูกันอยู่นานเลย สุดท้ายมาได้ร้านเมนูโดนใจตรงอีกฝั่งนึงของถนน รสชาติบอกได้ว่าอร่อยเลย คุณภาพให้ประมาณเดียวกับ Ootoya เลยนะ (ถ้ามองจากฝั่งตรงข้าม ร้านจะอยู่ด้านขวาของ Yoshinoya ตรงที่วงสีขาวไว้)

กินเสร็จไปจัดทาโกะยากิกันต่อที่ Gindaco ร้านจะอยู่ในถนนในตลาด Ameyoko น่ะแหล่ะ หาไม่ยาก แถมมีขายไทยากิด้วย แต่ไม่ได้ลองอ่ะเพราะตอนนั้นอิ่มจากร้านข้าวกันมาละ ทาโกะยากิรสชาติเหมือนเมืองไทยเลย ดีจังที่สาขาเมืองไทยรักษามาตรฐานได้ดีไม่ต้องถ่อมากินถึงญี่ปุ่นก็ได้

Dinner at Ueno & Gindaco

กินอิ่มละ เดินย่อยกันได้ เราแวะตึกม่วงเก็บตกของที่ลืมซื้อแป๊บนึงก่อนจะเลยไปต่อที่  Don Quijote หลักๆการมาเที่ยวที่นี่ เวลาซื้อของฝากถ้าไม่อยากไปหลายๆที่แนะนำที่นี่เลย เพราะมีทุกสิ่งอย่าง ราคาก็ไม่แพงด้วย ทั้งขนม ของกิน เครื่องสำอางค์ เครื่องไฟฟ้า เสื้อผ้า ของที่ระลึก แม้แต่ Sex Toy ยังมีเลย แถมยังเปิด 24 ชม.ด้วย shop กันเข้าไปไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลย สำหรับสาขานี่มีเยอะอยู่นะ เช็คสาขาได้ที่นี่ เดินเล่นอยู่ในนี้ได้ยินแต่ภาษาไทย นี่เราอยู่ที่เมืองไทยแล้วมโนว่าอยู่ญี่ปุ่นหรืองัยเนี่ยะ  🙄

หลังจากนั้นก็หอบหิ้วของที่ซื้อมา โซซัดโซเซกลับโรงแรมไปนอนได้สักที เที่ยวแต่ละทริปใช้เวลาคุ้มเกินไปมะ แอบสงสารสังขารเหมือนกันนะ   :mrgreen:

 18 October 2014

วันนี้เป็นวันแห่งการตะลุยย่าน shopping ทั้งหลาย โดยเราจะเริ่มจาก Shibuya -> Harajuku -> Shinjuku กัน โดยทั้งสามที่นี้จะอยู่ JR สาย Yamanote ที่วิ่งวนเป็นวงกลมนั่นเอง แต่ก่อนที่จะไปเที่ยวเราต้องกินก่อน ร้านที่ตั้งใจไว้ว่าต้องกินเลยคือร้านแกงกะหรี่ที่อยู่ในซอยใกล้ๆซอยตลาด Ameyoko (แต่ไม่ใช่ซอยตลาดนะ) คือถ้าหันหน้าออกจาก JR Station ซอยที่เป็นตลาด Ameyoko จะอยู่ด้านขวา แต่ซอยร้านแกงกะหรี่จะอยู่ด้านซ้ายข้างๆ Uniqlo เดินเข้าไปแค่ไม่กี่ก้าวก็เจอร้านอยู่ด้านขวามือแล้ว สังเกตุง่ายๆคือ logo ร้านมีรูปมงกุฏสีเหลืองและหน้าร้านมี display ข้าวแกงกะหรี่แบบต่างๆอยู่ด้วย วิธีการคือต้องกดเมนูที่อยากกินจากตู้เอาเลย ก็ใช้วิธีถ่ายรูปเมนูจากหน้าร้าน เพื่อเอามากดจากตู้ที่อยู่ในร้าน แล้วก็ยื่นตั๋วให้พนักงานได้เลย รสชาติแกงกะหรี่ที่นี่อร่อยเข้มข้นจริงๆ ขนาดเปิ้ลที่ไม่ได้ชอบแกงกะหรี่สักเท่าไหร่ยังกินเรียบ ส่วนตัว Hamburg ที่นี่ก็อร่อยมากด้วย ร้านนี้จะเป็นอีก 1 ร้านที่มากินอีกแน่ๆถ้ามาคราวหน้า!

Ueno Curry

ของคาวเสร็จแล้วก็ขอหวานล้างปากหน่อย เลยลองเดินดูแถวๆในซอยนั้นแหล่ะ แล้วก็ไปเจอร้าน Soft Cream ท่าทางน่ากิน เลยลองดู หน้าตาดูดีแต่รสชาติธรรมดาๆแฮะ นี่ตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้กิน Soft Cream อร่อยๆเลยอ่ะ >_<

Ueno Soft Cream

เอ้อระเหยกันจนสายแล้วก็ไปเที่ยวตามแพลนได้แระ … วันนี้เราจะวิ่งกันอยู่ในสาย Yamanote ทั้งวัน เพราะงั้นเลยซื้อเป็น JR 1 day pass (Tokunai Pass) ราคาคนละ 750 Yen กัน จากสถานี Ueno ถึง Shibuya ตั้ง 14 สถานีแหน่ะ นั่งเบื่อกันเลยทีเดียว

ที่สถานี Shibuya สิ่งแรกที่ทำเลยคือไปถ่ายรูปที่อนุสาวรีย์ Hachiko ที่อยู่ติดๆกับสถานี JR นั่นแหล่ะ ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเทศกาล Halloween หรือเปล่า เจ้า Hachiko เราเลยดู Colorful มาก กลายเป็นได้ถ่ายรูปกันแบบ Limited Edition ไปเลย เจ๋งป่ะล่ะ ^^

จากนั้นแล้วเราก็เริ่มเดินสำรวจเรื่อยเปื่่อยกันละ เพราะไม่ได้ตั้งใจจะดูอะไรหรือกินอะไรกันเป็นพิเศษที่นี่ ที่ Shibuya มี Disney Store ด้วยนะ สำหรับคนที่อยากได้ Disney Collection ก็มาซื้อที่นี่ได้ แต่งร้านน่ารักดีสมเป็น Disney จริงๆอ่ะ

เดินไปเดินมาเข้า super หยิบไอติมเวเฟอร์ของ Lotte มาลอง ตัวเวเฟอร์เหนียวไปหน่อย ไม่งั้นจะแจ่มมาก แล้วก็เดินเล่นต่อกันไปอีกไม่นานก็เบื่อๆแระ พวกเรารู้สึกเฉยๆกับ Shibuya แฮะ สงสัยไม่ใช่แนว เลยกะจะกลับไปนั่งชมวิวคนข้ามถนนที่  Starbucks ชั้นบนกันซะหน่อย พอดีกับที่ช่วงนี้ Starbucks มีเมนูใหม่พอดีเป็น  “Caramel & Pudding Frappe” กับ “Shaken Caramel Custard & Espresso” ถือโอกาสลองเลยละกัน จิบกาแฟไป ดูวิวคนข้ามถนนไป อร่อย&ฟินในอารมณ์มากกก เสียอย่างเดียว คนในร้านค่อนข้างเยอะ เลยนั่งชิลไม่ได้นานเท่าไหร่ แถมเวลาเราก็น้อยด้วย เลยรีบกินรีบไป(ก้อด้ายฟระ) T-T

Shibuya

จาก Shibuya เราจะไปต่อกันที่ Harajuku ถ้านั่ง JR ก็ 1 สถานี เปิ้ลบอกว่าเดินไปไม่ไกลหรอก เดินได้ (แต่ลืมสำรวจมาว่าไม่ไกล แต่เดินขึ้นเนินนะจ๊ะ ^^”) เป็นการออกกำลังกายที่ได้เหงื่อดีจริงๆ เดินมาจนถึง Harajuku จะเห็น ศาลเจ้าเมจิอยู่ เราก็เดินข้ามทางไปด้านขวามือก็จะเจอแหล่งเที่ยวละ เดินเทียวเล่นสำรวจย่านนี้ไปก็จะเจอส่วนนึงที่เป็นถนนแนวๆ local brand ดู art หน่อย คนไม่พลุกพล่าน ร้านจะออกสไตล์น่ารักๆ

Harajuku

แต่ ณ ตอนนี้กระเพาะย่อยเตรียมกินมื้อต่อไปกันเรียบร้อย จนคุณนายเริ่มจะโมโหหิวเพราะงั้นเลยเดินสำรวจหาของกินกันก่อน เดินไปเดินมาเข้าๆออกๆตรอก ก็เจอร้าน Okonomiyaki!! มาทริปนี้ยังไม่ได้กินเลย เพราะหาร้านไม่ได้สักกะที่ที่ไป ใน Tokyo นี่หาร้าน Okonomiyaki ยากชะมัด ทริปหน้าไป Osaka ต้องจัดให้หายอยาก ส่วนร้านที่บังเอิญเดินมาเจอนี่ชื่อว่า 原宿 お好み焼き やいやい พิกัดดูได้จาก link map ใน Foursquare เพราะถ้าให้อธิบายอีกทีก็ไปไม่ถูกละ แบบว่าเดินมั่วๆแล้วพอดีเจอ XD ตัวร้านจะมีที่นั่งแบบที่มีเตาของตัวเอง แต่เราเลือกนั่งกันที่ Counter Bar เพื่อดู Chef ทำสดๆ เราสั่งกันไป 2 อย่าง เป็น Okonomiyaki กับ ยากิโซบะห่อไข่ เสร็จแล้วก็นั่งรอ พร้อมกับดูเชฟทำเพลินๆ พอเชฟทำเสร็จจะเอามาวางให้ตรงกระทะด้านหน้าของเรา จะได้ตัดกินกันได้โดยที่ยังอุ่นๆตลอด รสชาติโดยรวมดี แต่ไม่ถึงกับเทพ แก้ขัดให้หายอยากได้อยู่ กินหมดนี่อิ่มประมาณนึงกันเลย คนที่โมโหหิวก่อนหน้านี้ก็กลับยิ้มได้อีกคราาา … โอ้วไอ้อาการโมโหหิวนี่มันช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร…!!!

Okonomiyaki Jingumae Harajuku
อิ่มจัดจนอารมณ์ดีละ ก็เดินเล่นต่อ ตอนแรกหมายมั่นปั้นมือจะไปชิม Pancake กันที่ Bills แต่ ณ จุดนี้อิ่มมากละ เลยต้องตัดใจ แปะไว้คราวหน้าละกัน T-T

จุดหมายถัดไปคือเราจะไปสำรวจตรอกฮิตของที่นี่กัน ถ้าดูจากในรูปก็จะเป็นตรอกที่วงสีแดงไว้ ชื่อว่า Takeshita Street ทีนี้จะเป็นถนนที่เราเห็นกันตามเวบรีวิว ถนนนี้คนเพียบ วัยรุ่นเพียบ เดินกันแบบแออัดๆยัดกันอยู่ในตรอกเนี่ยะ แต่ก็สนุกๆดี แค่เดินดูคนก็สนุกแล้วนะ  ในนี้จะมีร้านขาย Lucky Box ด้วย เป็นกล่องที่ห่อของขวัญไว้แล้ว ให้เราเสี่ยงเลือกไป อาจจะได้ของดีก็ได้ เราเลยซื้อกลับมาเป็นของฝากด้วย ของที่ได้ก็น่ารักดี ในนี้จะมีทั้งเสื้อผ้า ของเล่น ของแปลกๆแนวๆ รวมทั้งร้าน Daiso ที่เป็นตึกเลย มีหลายชั้นมาก สาวก Daiso คงจะเปรม แต่ถ้ามาถนนนี้สิ่งที่ห้ามพลาดเลยก็คือเครป ในนี้จะมีร้านเครปหลายร้านให้เลือก เลยลองสั่งจากร้าน Marion’s Crepe มาลองชิมดู รสชาติงั้นๆ ทั้งตัวเครป และไอติม ไม่เข้าใจว่าทำไมฮิตกันฟระ แต่เอาน่ามาที่ฮาราจูกุ มันก็ต้องกินเค้รปสิ ถือว่าบรรลุภาระกิจแล้วละกัน ^^”

Harajuku

จากฮาราจูกุเรานั่ง JR ต่อไปที่สถานี Shinjuku ที่เป็นเป้าหมายสุดท้ายของเรา บรรยากาศโดยรวมของ Shinjuku นี่มันน่าเดินเที่ยวเล่นมากกว่าที่ Shibuya ชัดเจน คือมันมีร้านทุกร้านที่อยากเข้า ผู้คนดูมีสีสัน ร้านอาหารมีให้เลือกเพียบ สรุปว่ามีทุกสิ่งทุกอย่างละที่นี่ ไม่ต้องไปที่อื่น เราว่าจริงๆมาแค่ Harajuku กับ Shinjuku ก็พอล่ะ ถ้าอยากไปดูสาวๆแนวเด็กนักเรียนๆหน่อยก็ไป Harakuju ส่วนที่ Shibuya ไม่ค่อยมีอะไร

Shinjuku

เดินเล่นเดิน shop เก็บตกกันอยู่พักใหญ่ๆก็กลับกัน เพราะมีภาระกิจจะกลับไปซื้อหมอน Rilakkuma ให้สาวเปิ้ลเป็นของขวัญที่ร้านของเล่น Yamashiroya ที่ Ueno เลยต้องรีบไปให้ถึงก่อนร้านจะปิด ร้านนี้อยู่เยื้องๆกับสถานี JR Ueno ใกล้ๆกับ Uniqlo น่ะล่ะ เด็กน้อยได้ของแล้วก็ลั้นลาๆ อารมณ์ดี หิวขึ้นมาเลย เพราะงั้นก่อนกลับโรงแรมเลยจัด Yoshinoya เปรียบเทียบกับเมืองไทยซะหน่อย เพราะที่เมืองไทยนี่รสชาติธรรมดาสุดๆ ปรากฏว่าคุณภาพต่างจากที่เมืองไทยสุดขั้ว ของที่นี่อร่อยกว่ามาก แสดงว่าร้านสาขาที่เมืองไทยยังควบคุมคุณภาพไม่ได้ดีเท่าไหร่นะจ๊ะ

Yoshinoya

กินข้าวเรียบร้อย เอาของพะรุงพะรังทั้งหลายกลับขึ้นไปเก็บในโรงแรมก่อนแล้วออกมาสำรวจ 7-11 ของที่นี่ต่อ คือพวกเราส่วนใหญ่จะเดินผ่านกันที่ Family Mart เพราะงั้นจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้เข้า 7-11 เลย คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วขอสำรวจหน่อยเหอะนะ … อาหาร ของสดในร้านน่ากินดี ไอติม กาแฟ ขนม มีค่อนข้างเยอะ เราจัดไอติมมาลอง ขอบอกว่าอร่อยมากกกกก!!! คือแบบว่าชอบมากกว่าไอติมที่ชิมมาทั้งทริป ตัวโคนก็ยิ่งอร่อย ใครแวะ 7-11 แนะนำให้ลองเลยนะ ส่วน popcorn ยี่ห้อของ 7-11 ก็อร่อย เราว่ามาตรฐานของ 7-11 นี่ค่อนข้างดีมาก เพราะของกินเท่าที่ชิมๆมาอร่อยทุกอย่างเลยน่ะ ออกจาก 7-11 ลองแวะไปสำรวจร้าน Sun R Us ต่อว่ามีอะไรบ้าง เห็นมีไอติมคล้ายๆของ 7-11 ที่เพิ่งกิน เลยลองซื้อมาชิมเปรียบเทียบ … รสชาติคล้าย แต่สู้ไม่ได้จ้ะ ของ 7-11 อร่อยกว่าชัดเจน โดยเฉพาะตัวโคนที่แตกต่างกันจริงๆ

7-11 and SunRUs

ของคาว ของหวาน ตกถึงท้องเรียบร้อยก็กลับไปจัดกระเป๋ากันได้ละ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ามากกกก ข้อเสียของ Air Asia X ก็คือ Flight กลับเครื่องออกตอน 10:30 ก็ควรไปถึงสนามบินไม่เกิน 8 โมงเช้า เพราะงั้นต้องตื่นประมาณ 6 โมง 😥   จัดของ อาบน้ำเสร็จ ตั้งนาฬิกาปลุกกันสามเรือน กลัวไม่ตื่น!!

 19 October 2014

Check-Out กันออกจากโรงแรมกันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ขากลับนี่ไม่ชิลละ เพราะมีกระเป๋างอกกันขึ้นมาอีกคนละใบ แล้วทางเดินจากโรงแรมไป Keisei Station ก็ไกลใช้ได้เหมือนกัน กว่าจะถึงเล่นเอากล้ามขึ้นกันเลย แถมตอนไปออกตั๋ว จนท.ยังบอกว่ารถไฟเที่ยวถัดไปจะออกในอีก 10 นาที จะไปเที่ยวนี้เลยมั๊ย พวกเราก็แบบว่าโอเค เอาเว้ยยยย แทบจะวิ่งกันเลยทีเดียว เป็นการออกกำลังกายรอบเช้าที่ได้เหงื่อดีจริงๆ ตื่นเลย 555++

พอขึ้น Keisei ได้ก็สบายละ เอาเสบียงที่แวะซื้อมาจาก Family Mart ระหว่างทางมากินซะหน่อย เป็น ข้าวปั้น + กาแฟ Mr. Rainier’s  (ตอนนี้ทั้งสองอย่างก็มีขายใน Family Mart เมืองไทยแล้วด้วย ยังติดใจกลับมากินที่เมืองไทยอยู่เลย)  นั่งรถชิลๆไป 40 นาทีก็ถึง Terminal 2 ละ ต้องไปเช็คอินที่ Counter Air Asia ก่อน คนเยอะอยู่ แต่เปิ้ลทำ Web Check-In มาเรียบร้อยแล้ว เพราะงั้นเลยรอไม่นานก็ได้ load กระเป๋า แล้วก็เดินตัวเบาเข้าไปด้านในหาซื้อของ + shop ของฝากกันต่อไป

FamilyMart

สำหรับคนที่จะซื้อ Royce จะบอกว่าที่ Terminal 2 มีขายทั้งด้านนอกและด้านใน โดยที่ราคาด้านนอก ณ ช่วงที่เราไป = 756 Yen แต่ถ้าไปซื้อด้านในจะ = 700 Yen คือปลอดภาษี เพราะงั้นสำหรับคนที่จะต้องไปขึ้นเครื่องอยู่แล้วก็ไปซื้อด้านในดีกว่า พวกขนมของฝากทั้งหลายทั้ง Royce, Tokyo Banana, และอื่นๆซื้อได้ที่ร้าน Akihabara เลย สังเกตุง่ายๆว่าคน(ไทย)เพียบ!

Narita Airport Terminal 2

ซื้อของเสร็จก็หอบหิ้วกันไปหาของกินแบบจริงจังระหว่างรอขึ้นเครื่อง ภายใน Terminal 2 นี่ร้านอาหารเท่าที่เห็นมีแค่ 2 ร้านเอง เลยเดินเข้าร้าน ASIAN CAFE Bowl Bowl ดูโปร่งๆ ที่นั่งก็วิวดี กินไปนั่งมองเครื่องบินไปได้เลย เข้าไปในร้านเราก็เริ่มจากสั่งอาหารและจ่ายเงินที่ counter ก่อนแล้วรับอาหารบางส่วนไปหาโต๊ะนั่ง แต่ราเมงพนักงานจะเอามาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะทีหลัง รสชาติราเมงและขนมปังแกงกะหรี่ที่สั่งมาอร่อยใช้ได้เลย กินไปมองเครื่องบินไปได้บรรยากาศ

ASIAN CAFE Bowl Bowl, Narita Terminal 2

หลังจากนั่งเล่นจนใกล้เวลา boarding แล้วเราก็เดินกันไปที่ Gate ระหว่างรอขึ้นเครื่องยังอุตส่าห์เห็นตู้ไอศกรีมที่อยู่แถวๆหน้า Gate อดไม่ได้ต้องกินไอติมตบท้ายทริปอีก แต่รสนี้อร่อยดีแฮะ มันแบบเย็นๆชื่นใจ กินแล้วสดชื่นดี ชอบอ่ะ

Gate at Narita Terminal 2

หลังจากนั้นก็ได้เวลาขึ้นเครื่องพอดี ขนาดที่นั่งก็แคบๆเหมือนเดิม นั่งดู series ที่ load ลง ipad มาได้ 4 ตอนก็ใกล้เวลาเครื่องลงพอดี สรุปว่าขากลับนี่ไม่ได้หลับเลย แต่คุณนายเปิ้ลหลับยาวจนถึงกทม.ประมาณบ่ายสาม เป็นอันจบทริปนี้แบบสั้นๆ เหนื่อยๆ หนุกๆ และติดใจ 555++

มาสรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้กันหน่อย: (คูณด้วยเรท 0.313)

  • ตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ 2 คน = 15846 บาท
  • ค่าโหลดกระเป๋า ไป-กลับ = 2840 บาท
  • โรงแรม 3 คืน 33020 Yen = 10335 บาท
  • DisneySea Ticket 1 Day Pass 2 ใบ = 4100 บาท
  • JR ไป-กลับ Ueno<->DisneySea = 1300 Yen/คน x 2 = 2600 Yen = 815 บาท
  • Round Trip Keisei Skyliner + Metro 1 day pass 2 ใบ = 4700×2 = 9400 Yen = 2940 บาท
  • JR 1 Day Pass 750×2 = 1500 Yen = 470 บาท
  • ค่ากินเฉลี่ยวันละ 8,000 Yen x  4 วัน = 32,000 Yen = 10,016 บาท (วันสุดท้ายกินมื้อเดียวเองเลยเฉลี่ยๆเอา)
  • รวม 2 คน = 47,362 บาท
  • ราคาเฉลี่ยต่อคน = 23,681 บาท –> ราคาประมาณๆ เพราะไม่ได้ลง detail ค่ากินจุกจิกขนาดนั้น อาจจะบวกลบบ้างไม่มาก ไม่น่าเกินคนละพัน นอกนั้นก็เป็นค่า shopping กับซื้อของฝากกันละ

To do list สำหรับครั้งหน้า

  • ของกินที่ต้องไปซ้ำ
    • ร้านแกงกะหรี่ที่ Ueno
    • Ichiran Ramen
    • เมล่อนปัง Asakusa
    • ไอติมโคนของ 7-11
  • ของกินที่พลาดในทริปนี้ ทริปหน้าห้ามพลาด!
    • Sushi ทั้งหลาย –> Midori Sushi หรือร้าน Sushi อื่นๆอะไรก็ได้ ทริปนี้ไม่ได้โดนเลย ฮือๆๆๆๆ T-T
    • Pancake/Hot Cak  –> เล็งร้าน Bill’s ที่ Harajuku ไว้ก็อด แต่ไปร้านเทพอื่นๆแทนก็ได้นะ
    • Pablo Cheese Cake –> ตอนแรกหมายมั่นปั้นมือว่าจะไปซื้อให้ได้ แต่ด้วยความอิ่ม เมื่อย เหนื่อย เวลาไม่มี เลยไม่ได้เดินหาเลย >_<

สรุปว่าทริปนี้ถึงจะเหนื่อยแต่ก็ประทับใจมาก กลับมาปุ๊บอยากกลับไปอีกทันทีเลย เป็นทริปที่ไม่แพงเพราะได้ตั๋วโปรโมชั่น ทำให้ถูกไปเยอะ แถมพวกเราชอบอาหารสไตล์บ้านๆ ไม่ได้กะจะไปเก็บร้านเทพระดับตำนานทั้งหลาย เน้นร้านไหนน่ากินก็เข้าร้านนั้น เพราะพวกร้านเทพฯทั้งหลายต้องเข้าคิวยาวนานกว่าจะได้กิน เวลายิ่งมีไม่มากเลยขอบาย … ว่าแต่หลังๆนี่ได้ตั๋วโปรฯบ่อยมาก นั่งแต่ Low cost Airline จนลืมสัมผัสสายการบินแบบราคาปกติไปแล้วอ่ะ แล้วนี่ตั้งแต่กลับมาถึงเมืองไทยก็เริ่มหาข้อมูล Osaka ละ คิดเอาว่าประทับใจญี่ปุ่นขนาดไหน ยังไม่รวมทริปอื่นๆที่อยู่ในลิสต์อีกเพียบ สะสมวันลาไม่พอจะเที่ยวแล้วววววว?!?! 555++

Comments