[14-19 Oct 2015] บินไปกลิ้งกลับ กินหนัก@ไต้หวัน!
หลังจากโดนพร่ำกรอกหูมานานเกี่ยวกับประเทศไต้หวันจนหูเกือบจะเสื่อม ในที่สุดก็เกิดทริปนี้ขึ้นมาจนได้ พอเราโอเคปุ๊บ เปิ้ลรีบหาข้อมูลทันที สงสัยจะกลัวเปลี่ยนใจ แถมบอกว่าไหนๆไปแล้ว ไปสัก 4 คืนเลยละกัน ไอ้เราก็เออออไป คนจัดทริปว่าไงว่ากัน เดี๋ยวถ้าเรื่องมากกลัวจะโดนโยนภาระจัดทริปมาให้เลยตามน้ำไปดีกว่า ^^”
ทริปนี้ก็เริ่มจากการหาข้อมูลสายการบิน ตอนนั้นก็มี Promotion ของสายการบินที่เป็น Low Cost อยู่ 2 เจ้า คือ V-Air และ Tiger Air ราคาก็พอๆกัน สุดท้ายเลือก Tiger Air เพราะว่าเวลาการเดินทางสวยกว่า แต่เจ๊เปิ้ลครับ เห่อมากไปมั๊ยแบบว่าจองตั๋วล่วงหน้า 6 เดือน พอตอนที่ใกล้ๆเดินทางก็มี promotion นู่นนี่นั่นมาทำให้ช้ำใจว่าตรูไม่น่าต้องรีบจองเล้ยยยยย 555+ เอาเป็นว่าราคาค่าตั๋วบวก นน. กระเป๋า ขาไป 25 กิโล ขากลับสองคน 70 กิโล รวมแล้ว 13,326 บาท (ราคานี้ไปการบินไทยได้คนเดียวนะขอรับ)
ได้ตั๋วแล้วก็เริ่มวางแผนว่าจะเดินทางไปไหนบ้างอะไรยังงัย ก็มาคุยกันก่อนว่าอยากไปไหนบ้าง เราก็ไปดูตามโปรแกรมทัวร์ที่คนไปไต้หวันไปกันบ่อยๆ แล้วเลยบอกว่าขอให้มีทริปไป Sun Moon Lake (SML) ด้วยเน้อ นอกนั้นไม่เน้น ขอเป็นทริปกินเที่ยวแบบชิลๆ ไม่ต้องห่วงทำเวลามาก สุดท้ายเลยเลือกที่จะนอนที่ SML สักคืนดีกว่าจะได้ไม่เหนื่อย ส่วนสามคืนที่เหลือค่อยกลับไปนอนในไทเป
โรงแรมใน SML นี่มีหลายราคาหลายระดับ สุดท้ายอ่านรีวิวและเม้นท์ของ Laurel Villa ว่าบริการดี เจ้าของพูดภาษาอังกฤษได้ เลยเลือกที่นี่แหละ ห้องของที่นี่มีหลายแบบตอนจองก็เข้าไปเลือกใน website ของทางโรงแรม เราเลือกห้อง B301 Double Room (Black, Laurel Villa Kaleidoscope) ราคาคืนละ 2,480 NTD (ประมาณ 2,815 บาท) วิธีจองก็คือเมล์ไปจองกับทางโรงแรมเอา เค้าจะขอข้อมูลบัตรเครดิตเป็นหลักฐานการจอง ส่วนจ่ายจริงนี่ไปจ่ายเป็นเงินสดที่โรงแรม
ส่วนที่พักในไทเป วัยรุ่นอย่างพวกเราเลยเลือกนอนย่าน Ximending แน่นอน เพราะเดินเล่นก็ชิลล์ ของกินก็เยอะ Shopping ก็สะดวก เมื่อได้ย่านที่พักก็มามองหากันต่อกับ รร ที่ต้องใกล้สถานี MRT ตอนแรกเปิ้ลตั้งใจไปนอนที่ รร City INN Ximending Plus แต่ รร เต็ม ไม่สามารถจองได้ เลยหาข้อมูลไปๆมาๆ จนมาลงตัวที่ Via Hotel ราคา 3 คืนอยู่ที่ 10,021 NTD (ประมาณ 11,378 บาท) สุดท้ายก็ไม่ผิดหวังนะ ชอบโรงแรมนี้มาก ทั้งสไตล์ของห้องและทำเล
หลังจากได้โรงแรมกับตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว ก็คุยกันว่าอยากไปเที่ยวที่ไหนบ้าง มีอะไรบ้างที่เราไม่ควรพลาด วิธีการเดินทางไปแต่ละที่ รวมทั้งที่เที่ยวและที่กิน (หลังๆคุณนายเปิ้ลเริ่ม advance วางแผนได้ครอบคลุมทั้งที่เที่ยวและที่กินละ สบายเราจริงๆ ไม่ต้องทำการบ้านเยอะ รู้สึกภูมิใจว่าเทรนเรื่องการกินคุณนายมาได้ดีพอตัวเลยเว้ย)
อ่อ สำหรับการเข้าประเทศไต้หวัน คนไทยยังต้องขอวีซ่าอยู่ (วิธีการขอวีซ่าไต้หวัน) แต่พอดีเรามีวีซ่าเชงเก้นที่ยังเหลืออยู่ ส่วนเปิ้ลมีวีซ่า USA ที่ยังเหลือเหมือนกัน เลยสามารถเข้าไต้หวันได้โดยไม่ต้องทำวีซ่า แต่ต้องไปกรอกฟอร์ม online ก่อนเดินทาง แล้ว print เอกสารไปยื่นที่ตม.ไต้หวันเอา — สรุปประหยัดค่าวีซ่าไปอีก 1500/ คน
Note: สำหรับผู้ที่มีวีซ่า สหรัฐอเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น อังกฤษ อียู (Schengen Visa) ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ที่ยังไม่หมดอายุ สามารถเดินทางเข้าไต้หวันได้โดยไม่ต้องยื่นขอวีซ่าไต้หวันและสามารถพำนักอยู่ในไต้หวันไม่เกิน 30 วัน
Day 1, 14 Oct 2015
นัดเจอกันที่สนามบินดอนเมืองตอนสามทุ่ม เครื่องออกเดินทาง 23.50 ไปถึงก็ไปเช็คอินที่ Counter Tigerair ก่อนเลย (Tiger Air ยังทำเว็บเชคอินไม่ได้อ้ะ ถ้าไม่ได้ซื้อที่นั่งให้ไปเร็วหน่อย จะได้ที่นั่งติดๆกัน) พอผ่านตม.เข้าไปข้างในก็หาอะไรกินกันก่อนตามระเบียบ แต่ร้านส่วนใหญ่พอหลังสี่ทุ่มก็เริ่มปิดแล้ว สุดท้ายก็มาจบที่ McDonald’s ร้านประจำ จัดแมคไก่ , Double Cheese Burger , นักเก็ต, เฟรนฟรายและโค้กซีโร่แก้วใหญ่ไปเบาๆ ให้พออิ่มสบายพุงจะได้หลับบนเครื่องได้สบายๆ กินเสร็จก็เดินไปรอเครื่องออกที่ Gate นั่งถ่ายรูปกันไป จนได้เวลาขึ้นเครื่อง
ระหว่างขึ้นเครื่องก็ลุ้นกันว่าเครื่องจะเป็นยังงัย เพราะไม่เคยบินสายการบินนี้กันมาก่อน แต่พอเข้ามาในตัวเครื่อง เจอว่าเครื่องสภาพใหม่ใช้ได้ เบาะและที่นั่งดูดีกว่าที่คิด ที่นั่งจะเป็นแบบ 3-3 ขนาดไม่ใหญ่ (ค่อนข้างแคบเลยล่ะ ถ้าเทียบกับแอร์เอเชียเหมือนจะเล็กกว่า) ถ้าคนตัวใหญ่ ขายาวน่าจะอึดอัดอยู่เหมือนกัน แต่เราก็มีแอบเล็งกันไว้ว่าถ้าต้องเดินทางกับสายการบินนี้อีก ที่นั่งที่เวิร์คสุดดูคือแถวที่ 13 (แต่ถ้าเลือกที่นั่งตรงนี้ ต้องจ่ายค่าเลือกที่นั่งเพิ่มอีก 790 บาท) แต่สำหรับเราถือว่าที่นั่งครั้งนี้โอเคไม่มีปัญหา เพราะขาไม่ยาวกันอยู่ละ เลยไม่อึดอัด พอเครื่อง Take-Off ปุ๊บก็เตรียมหลับกันเลย ตุนๆไว้หน่อยเพราะ Flight ไปไต้หวันนี่บินแค่สามชั่วโมงกว่าๆเอง >_<
Day2, 15 Oct 2015
เครื่องมาถึงสนามบินเถาหยวน (TaoYuan International Airport) ตอน 4.20 เราก็ผ่าน ตม. มารับกระเป๋า ไปล้างหน้าแปรงฟันกันก่อน เสร็จแล้วก็เดินลงไปชั้น B1 ตามหาร้าน Hi-Life เพื่อรอซื้อซิมมือถือกัน เพราะร้านนี้สามารถซื้อซิมได้เช้าสุดละคือประมาณหกโมงเช้า ส่วนร้าน Telecom ที่ขายซิมมือถือปกติในสนามบินจะเปิดแปดโมงเช้าโน่น พอลงไปถึงร้านคนขายซิมยังไม่มาแฮะ พนักงานที่ร้านบอกว่าน่าจะมาราวๆ 6.30-7.00 น. ด้วยความที่ชีวิตขาด Net ไม่ได้เราเลยตัดสินใจรอนะครับท่าน สาวเปิ้ลกลัวไปซื้อในเมืองแล้วจะคุยกับคนขายไม่รู้เรื่องด้วย เพราะคนที่นี่แทบไม่พูดอังกฤษกัน ระหว่างรอเลยหาของทานรองท้องใน Hi-Life ไปก่อน จัดกาแฟสดมาแก้วนึงและชายี่ห้อดังที่เห็นในรีวิวเยอะๆมาลองดู พร้อมขนมปังเมล่อน ต้องบอกว่าประทับใจชายี่ห้อนี้เลยแฮะ มันหอมชา ไม่หวานมาก ขนาดเราไม่ได้เป็นสาวกชานมขนาดนั้นยังชอบอ่ะ อร่อยสมคำร่ำลือจริงๆ (วันต่อๆมาลองกาแฟของยี่ห้อนี้ไปด้วย อร่อยมากเหมือนกัน สรุปยี่ห้อนี้เจ๋ง อร่อยทุกรส ถ้ามาไต้หวันควรลองนะครับท่าน!)
พอ 6.30 พนักงานขายซิมมาก็ไปจัดการซื้อซิม โดยเราเลือก Package 5Day 300NT เน็ตไม่จำกัดพร้อมค่าโทรอีก 50NTD ได้ซิมเรียบร้อยแล้วก็พร้อมเดินทางมุ่งสู่ Sun Moon Lake ที่เป็นจุดหมายแรกของเราในวันนี้
การเดินทางไป Sun Moon Lake อาจจะนั่งรถหลายต่อหน่อย แต่สำหรับเราสองคนสบายอยู่ล่ะ นั่งไปหลับไปเพราะนอนในเครื่องบินมาติ๊ดเดียวเองงงง 555 การเดินทางเริ่มจากไปซื้อตั๋ว UBUS ในสนามบินราคา คนละ 30 NTD เพื่อไปลงที่ THSR เพื่อนั่งรถไฟความเร็วสูงไปสู่เมืองไท้จง (Taichung) จากสนามบินไป THSR ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที
พอถึง THSR ก็ซื้อตั๋วไปเมือง Taichung ราคาคนละ 590NTD ใช้เวลาเดินทาง 40 นาที ตั๋วที่ได้จะระบุเลขที่นั่ง ขบวนรถและเวลาไว้เสร็จสรรพ ตอนไปถึงชานชลาก็ไปให้ตรงจุดขบวนและที่นั่งที่เราจะขึ้น รถนั่งสบายเบาะกว้างดี
พอถึงเมือง Taichung ก็ต้องต่อรถบัสอีกต่อนึง พอออกจาก THSR ก็เดินออกมาทางออก Exit5 เพื่อต่อรถ Bus ไป Sun Moon Lake โดยจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.40 ชม เราซื้อเป็น One day Pass ของ Sun Moon Lake โดยจะรวมทุกอย่างแล้วตั้งแต่ ค่ารถไป-กลับ, ค่าเข้า Formosan Aboriginal Culture Village, ค่านั่งเรือที่ SML ราคา 990NTD/คน
ได้ตั๋วแล้วยังไม่ถึงเวลารถออกเลยไปซื้อโอเด้งมานั่งหม่ำรอเวลากัน
พอกินเสร็จเรียบร้อยเดินไปที่รอรถอีกทีเจอแถวยาวมากกก คันแรกมาไม่ได้ขึ้นเลย แอบเซ็งเพราะตอนซื้อตั๋วเสร็จมองดูตอนแรกไม่มีคนเลย แว่บไปกินโอเด้งแป๊บเดียวแถวยาวเหยียด เลยต้องยืนต่อแถวรอคันต่อไปอย่างนาน ตอนแรกนึกว่าสงสัยกว่าจะได้ขึ้นอีกสองสามคันแหงๆ แต่ว่าเจ๊คนจัดคิวแกจัดไงไม่รู้มีแบบบอกให้คนที่อยู่หน้าเราไปขึ้นอีกคันนึง หรืออีกสามคนไปแถวนึง สรุปพอคันที่สองมาก็เลยได้ขึ้น แต่ก็รอไปเกือบครึ่งชม.เลยนะ เหอเหอ
พอได้คิวขึ้นก็เอากระเป๋าไปโหลดใต้รถ แล้วก็เดินขึ้นรถได้เลย ที่นั่งหาเอาเองตามที่ที่ว่าง เพราะตั๋วไม่ระบุที่นั่ง ระหว่างทางไม่ได้ดูวิวกันเลย (เพราะหลับ!!! 555) มารู้อีกทีก็ใกล้ๆจะถึง SML ละ
มาถึง SML ตอนประมาณเกือบๆ 11 โมง รถจอดให้ลงตรง Shueishe Visitor Center
จากตรงนั้นก็เดินลากเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่รร. ของเราก่อน จากจุดที่ลงรถบัสนี่เดินไปรร.นี่น่าจะราวๆ 300 เมตรได้ แต่ไปถึงยังเช็คอินไม่ได้ เพราะเค้าเปิดให้เช็คอินบ่ายสามโมง เลยฝากกระเป๋าไว้แล้วออกไปเที่ยวกัน โดยรร. Laurel Villa ที่เราเลือกพักนี่ทำเลดีมากอยู่ใกล้ท่าเรือ Shueishe เลย คือแบบเดินไปถึงท่าเรือใช้เวลาสองนาที ที่ท่าเรือนี่บรรยากาศดี แต่เสียดายฟ้าอึมครึมไปหน่อย รูปที่ถ่ายออกมาเลยดูฟ้าไม่ใสเลย >_<
จากท่าเรือ Shueishe Pier เรานั่งเรือไปลงที่ Syuanguang Pier เป็นที่แรกเพราะจะไป Xuan Zang Temple กันก่อน เรือที่เราจะนั่งไปเที่ยวกันนี่สีทองเชียว
นั่งเรือมาประมาณ 10 นาที ก็จะมาถึง วัดพระถังซัมจั๋ง (XuanZang Temple, 玄奘) เป็นวัดที่อยู่บนเนินเขา สามารถชมบรรยากาศของ SML ได้จากมุมสูง แต่ก็ต้องเดินหอบนิดหน่อย ^^” ภายในบริเวณวัดไม่มีไรมากเลยถ่ายรูป ชมบรรยากาศ แป๊บเดียวแล้วก็ตัดสินใจไปที่ต่อไปกันเลย
ที่ต่อไป เราจะไปนั่งกระเช้า ขึ้นไป Formosan Aboriginal Culture Village โดยจะต้องนั่งเรือต่อไปที่ท่าเรือ Itahao Pier ระหว่างรอขึ้นเรือน้ำสีสวยดี ก็ถ่ายรูปเล่นกันฆ่าเวลา
ถึงท่าเรือท้องเริ่มหิว ดูเวลา อ้าววบ่ายละ หาไรกินก่อนดีกว่า เรื่องเที่ยวรอได้ เรื่องปากท้องรอไม่ได้ (อันนี้คติเรานะ แต่หลังๆเปิ้ลเริ่มมาสายนี้เหมือนกันแระ กร๊ากๆๆๆ) เลยลองเดินดูรอบๆ ว่าจะหาร้านที่ดูมีอาหารเป็นชิ้นเป็นอันกินซะหน่อย แต่อาจจะเพราะไปวันธรรมดาร้านเลยไม่ค่อยเปิด พอลองเดินไปเดินมาเห็นร้านข้างทางน่ากินหลายร้าน เลยตกลงกันว่าซื้อของกินข้างทางที่อยากกิน แล้วเอาไปกินแกล้มมาม่า&น้ำใน 7-11 ท่าจะดี (7-11 ที่นี่เค้ามี counter ให้นั่งทานได้เลย) มาดูรวมๆของกินที่ซื้อมาหม่ำกัน
- ปีกไก่ยัดไส้ – อันนี้เดินผ่านดูน่ากิน คนต่อคิวกันเยอะ ข้างในยัดไส้ข้าวเต็มๆ กินแล้วมันออกเหนียวๆ รสชาติก็เฉยๆๆอ่ะ
- ไส้กรอกย่าง – รสชาติออกหวานหน่อยๆ เห็นในรีวิวของชาวเนทว่าถ้ามาไต้หวันต้องกินไส้กรอก ร้านนี้อยู่ต้นซอยหลังจากขึ้นมาจากท่าเรือเลย อร่อยดี
- ผัดหมูใส่หอมไรสักอย่าง หมูเหนียวไปอ่ะ ไม่แนะนำ
- ซาลาเปายัดไส้หมูพะโล้ – เมนูขึ้นชื่อของทางไต้หวันเค้าละ อร่อยดีๆ
- มาม่า 7-11 – อันนี้อร่อยนะ แนะนำๆ 555++
- ตบท้ายด้วยไอติม – จากอีกร้านในซอยแถวๆนั้นล่ะ รสชาติงั้นๆ
อิ่มละก็เดินต่อไปขึ้นกระเช้าไป Formosan Aboriginal Culture Village ทางเดินจะเลียบริมทะเลสาบไปเรื่อยๆ ระยะทางไกลอยู่เหมือนกัน แต่ถือว่าชิลล์ดีนะ เพราะอากาศเย็น วิวสวย แต่เสียดายที่ฟ้ามัวมากกก ถ่ายรูปไม่สวยเลย 😐
พอเดินมาถึงจุดหมายปลายทางอาคารสีขาวๆในรูป ก็ถึงจุดขึ้นกระเช้าไป Formosan Aboriginal Culture Village แต่วันนี้ฟ้าหม่นมาก ถ่ายรูปจากกระเช้ามาอึมครึมไปหมดเลย
พอถึงก็ขอแผนที่ Park มาดูก่อนเลย แล้วก็ตกลงกันว่าจะนั่ง Skyline ลงไปด้านหน้าเพื่อไปโซนของเล่นต่างๆ กันก่อน เดินดูของเล่นไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร มาลงเอยที่โซนเด็กน้อย ไปจับตุ๊กตากะเล่นม้าหมุนระลึกความหลังขำๆ
เล่นเครื่องเล่นกันนิดหน่อยก็ได้เวลาดูโชว์พอดี ตอนที่จะเดินไปดูโชว์ตรงทางเดินก็มีระบำพื้นเมืองพาเหรดมาพอดี แต่ดูได้แป๊บเดียวก็ต้องเข้าไปดูโชว์ละ เป็นโชว์แบบสามมิติไม่สนุกอ่ะ แต่ถ้าคิดซะว่าไปนั่งพักตากแอร์ก็โอเค พอดูโชว์จบก็กลับดีกว่าเพราะว่าตอนที่นั่งกระเช้ามา มองลงไปด้านหน้าไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ ตอนกลับนี่เลือกนั่งรถซาฟารีของ Park กลับไปที่ด้านหน้า แล้วก็นั่งกระเช้ากลับไปท่าเรือ Shueishe จะได้ไปเช็คอินเข้า รร.กันซะที
ก่อนเข้า รร แอบแวะซื้อไก่ทอดกับชาไปนั่งทานเล่นบนห้องพักรองท้องนิดนุง ร้านอยู่ใกล้ๆรร.แหล่ะ อร่อยดีๆ ^^
เช็คอินที่รร.เสร็จเรียบร้อย ก็แบกกระเป๋าเดินขึ้นที่พัก ที่นี่ไม่มีลิฟท์นะ แถมเลือกห้องดีมากอยู่ชั้นสามเลย ก็แบกกระเป๋ากันขึ้นไป ที่นี่ที่พักจะมีสองตึกติดกัน ตึกแรกจะเป็นแบบเดิมที่ทำมานานแล้ว ส่วนที่เราพักนี่เป็นโซนใหม่เพิ่งเปิด ห้องสวยน่ารักดี แถมแอบเห็นวิวทะเลสาบเล็กๆๆด้วย
หลังจากนั่งเล่นจัดของทำอะไรเสร็จก็ค่ำละ เลยลงมาเดินเล่นสำรวจบรรยากาศรอบเย็นแถวนี้ดูหน่อย เอาจริงๆมันแทบไม่มีอะไรเลยนะ ^^”
เลยไปวนดูรอบๆๆว่าจะกินมื้อเย็นที่ไหนดี อยากได้ร้านนั่งชิลเคล้าบรรยากาศเย็นๆสักหน่อย แต่ร้านใน SML นี่ไม่ค่อยมีตัวเลือกอะไรมาก หลังจากวนไปวนมาสรุปกลับมาจบที่ร้านตรงข้าม รร. ชื่อร้าน Moon Tea & Coffee เพราะบรรยากาศร้านดีมาก มองไปเห็นวิวท่าเรือ ร้านดูนั่งได้แบบชิลล์ๆ แถมรายการอาหารในเมนูก็ดูน่ากินดี มีเบียร์สดขายด้วย แต่เบียร์ยี่ห้อไรก็ไม่รู้จัก เลยขอทางร้านซื้อเบียร์จาก 7-11 มาแจมได้มะ ทางร้านโอเคด้วยแฮะใจดีจัง เลยไปแบกเบียร์กลับมาที่ร้านกันหกกระป๋อง เพราะอยากชิมทุกรสเลย 555 สรุปร้านนี้แนะนำเลยนะ อาหารที่สั่งมาอร่อย บรรยากาศดี พนักงานใจดีอีกตะหาก ^^
ทานอาหาร จิบเบียร์ ชมบรรยากาศจนฟิน (& มึน และพุงย้อย) ก็กลับไปนอน เตรียมร่างพร้อมลุยวันต่อไป!!
Day 3 16 Oct 2015 วันนี้ตื่นมากันประมาณ เก้าโมงกว่า หลับน๊อกยาวกันไปเลย ตั้งใจว่าวันนี้จะไปปั่นจักรยานรอบ SML เที่ยวเล่นเก็บตกอีกนิดก่อนกลับเข้าตัวเมืองไทเป จริงๆที่ รร มี Offer พาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นสำหรับแขกที่เข้าพัก แต่ต้องนัดเจอกันตอน ตีห้าครึ่ง เราสองคนเลยขอบาย เพราะเมื่อวานแทบไม่ได้นอนเลย วันนี้เลยตื่นซะสายกะว่าเดี่ยวไปหาไรทานกันนอก รร เป็นอาหารเช้าแล้วกัน ปรากฏว่าพอลงมาเจอพี่ผู้ชายเจ้าของรร.พอดี เลยขอข้อมูลการปั่นจักรยาน แต่แกก็บอกว่าให้กินอาหารเช้ากันก่อน เดี่ยวแกเตรียมให้ ทั้งที่เลยเวลาเสิร์ฟอาหารเช้าไปแล้ว อาหารเช้าก็แบบง่ายๆเบาๆ แต่ประทับใจการบริการของเจ้าของ รร มาก เลยขอถ่ายรูปมาสักหน่อย
หลังจากนั้นพี่เค้าก็ให้ข้อมูลว่า จะปั่นจักรยาน ควรไปไปแวะจุดไหนบ้าง แถมให้คูปองเช่าจักรยานมาด้วย เป็นปั่นฟรี 30 นาที จริงๆใน One Day Pass ก็มีคูปองส่วนลดจักรยานนะ แต่เป็นจักรยานหรู เช่าแพง เลยไปร้านที่เจ้าของ รร แนะนำดีกว่า 555 พอทานเสร็จ เราก็เดินไปเช่ารถจักรยาน ปั่นไปรอบๆๆ SML เค้าจะมีป้ายบอกเส้นทางปั่นอยู่แล้ว คนมาปั่นก็ค่อนข้างเยอะ ปั่นทำ speed ไม่ได้หรอก เป็นแนวปั่นชมวิวตามๆกันไปมากกว่า ส่วนคนสูงอายุก็ร่วมปั่นได้ด้วยนะ เพราะเค้ามีจักรยานแบบมีมอเตอร์ให้เช่าด้วย ไม่ต้องออกแรง 😆
บรรยากาศตลอดเส้นทางปั่นดีมากกกก อากาศเย็นนิดๆ ไม่ค่อยมีแดด ถ่ายรูปอาจจะไม่ค่อยสวย แต่ก็ไม่ร้อนดี แต่เหนื่อยเหมือนกัน เพราะ route การปั่นมีทั้งทางราบและทางขึ้นเขา เราก็แวะถ่ายรูปกันเป็นระยะๆเป็นการพักเหนื่อยไปในตัว จริงๆตอนแรกก็มุ่งมั่นจะไปให้สุดทาง แต่ด้วยเวลาและระยะทางที่จะไปดูขึ้นเขาอีก กลัว(คุณนาย)จะไม่ไหว เลยตัดสินใจกลับกัน กลับมาคืนจักรยานตรงเวลาเป๊ะ 1.30 ชม แต่จริงๆถ้ามีเวลาเราว่าปั่นสัก 3 ชม. แบบปั่นไปถ่ายรูปไปชิลๆจะดีกว่านะ
พอคืนจักรยานเสร็จก็ไปเก็บตกวัดเหวินอู่หรือวัดกวนอู (Wenwu Temple, 文武廟) ต่อ เป็นวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องความรัก วิธีการคือให้สองคนไปยืนถือด้ายแดงคนละข้าง เหมือนมีด้ายแดงคล้องความรักของสองคนไว้ด้วยกัน … ไม่ต้องเดาเลย ว่าวัดนี้คุณนายเปิ้ลรีเควสมา ไอ้เราก็ทำตามไปแบบงงๆ ว่าให้ตูทำไรอ่ะ???
พอไหว้พระเสร็จ ก็เดินมาหาอะไรกินต่อ พอดีเมื่อวานเล็งไว้เป็นเหมือนพวกข้าวหน้าหมูพะโล้ น่ากินดีเลยต้องจัดซะหน่อย แต่คนขายพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เมนูก็ไม่มีภาษาอังกฤษ เลยใช้วิธีถ่ายรูปหน้าร้านแล้วชี้สั่งเลย รสชาติก็ธรรมดาๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ถือว่ารองท้องก่อนไปจัดเต็มในไทเปละกัน พอกินเสร็จก็มาตบไอติม soft serve ใน 7-11 อีกนิด เฮ้ยยยดีงามมาก ไอติมอร่อยเข้มข้น เนื้อเนียนแบบที่ชอบเลยอ่ะ (เวลาจะสั่งไอติมนี่ต้องบอกพนักงานไปกดให้นะ)
กินเสร็จแล้วก็เดินกลับไป check-out ที่รร. แล้วก็ลากกระเป๋าไปขึ้นรถบัสกลับไทเป จุดที่ขึ้นรถบัสกลับ ก็คือจุดเดิมที่เราลงรถนั่นแหละ (หน้า Shuishe Visitor Center) โชคดีมากไปถึงรถกำลังจะออกพอดี เลยไม่ต้องรอนาน
นั่งรถประมาณ 1.30 ชม. รถก็จะมาส่งเราที่สถานี THSR พอลงรถก็เดินขึ้นมาซื้อตั๋ว THSR เพื่อเข้าเมืองไทเป (ค่าตั๋วคนละ 765 NTD) นั่งรถประมาณ 1 ชม เราก็จะมาถึงสถานี Taipei Main Station จากที่นี่เราใช้วิธีต่อ Taxi ไป รร ที่ Ximending เลยละกัน เอาชื่อ รร กับแผนที่ให้คนขับ Taxi ก็พามาส่งยังจุดหมายปลายทาง ค่ารถประมาณ 100 NTD (วิธีนี้สะดวกดีเพราะเราต้องขนกระเป๋ากันด้วย)
รร ที่เราเข้าพัก ชื่อ VIA Hotel ทำเลดีมาก เดินลงมาก็สามารถ Shopping ได้เลย ห้องก็เป็นแนว Modern & ใหม่มาก อาจจะเล็กไปนิดนึง แต่ไม่ได้แคบมาก เตียงนอนสบาย ตรง lobby จะมีมุมอาหารให้เราสามารถทานไรรองท้องได้ พวกขนมปัง กาแฟ มาม่า คุ้กกี้ ขนม เครื่องดื่มต่างๆ แถมเอากลับห้องก็ได้ จะมาทานเมื่อไหร่ตอนไหนก็ได้ด้วย แหล่มมากกกกก
เช็คอินที่ รร เรียบร้อย เก็บของทำอะไรเสร็จก็ลงมาเดินเล่น เก็บบรรยากาศที่ Ximending ดูว่ามีไรน่าสนใจบ้าง Ximending ก็จะคล้ายสยามสแควร์บ้านเรา มีร้านค้ามากมายทั้งของกินเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าแฟชั่นเต็มไปหมด ดูบรรยากาศแล้วน่าไปเดินมะล่ะ ^^
แต่จุดหมายของเราวันนี้คือการตามล่าหาร้าน Mala Yuanyang Hotpot (馬辣頂級麻辣鴛鴦火鍋) ที่ฮิตมากๆ คือแพลนร้านนี้ไว้ก่อนโปรแกรมอื่นๆสำหรับทริปนี้เลยว่าจะมาไต้หวันต้องไม่พลาดร้านนี้ 555++
วิธีการไปที่ร้านคือเดินจาก MRT Ximen, Exit 6 ออกมา เลี้ยวขวาเข้าไปในส่วนของซีเหมินติง เลี้ยวซ้ายตรง KFC จนถึงทางแยก เห็นป้าย KTV ใหญ่ๆ เลี้ยวขวาลงซอยนั้น จะเห็นป้ายร้าน Mala Yuangyang Hotpot สีแดง เดินขึ้นขั้น 2 ได้เลย
เราเลือกไปช่วงก่อน 5 โมงเย็นเพราะว่าคนยังไม่เยอะมาก เพราะถ้ามาเวลา prime time น่าจะต้องรอคิวยาว ราคาก็คนละ 598 NT + SC 10% (ถ้ามา 11:30-16:00 คนละ 498 NT) หลังจากเข้าไปที่ร้าน พนักงานจะพาไปนั่งที่โต๊ะ ประทับใจตรงที่เรามีเป้ไปด้วย พนักงานจะเอาผ้าคลุมมาคลุมเป้ให้ด้วย เมนูพวกเนื้อ หมู ต่างๆเราสั่งจากเมนูเอา ส่วนน้ำซุปก็เลือกได้ 2 แบบจากทั้งหมด 5 แบบ
อาหารอย่างอื่นๆหยิบได้เองที่ counter bar แบบว่าเครื่องมีให้เลือกจนตาลายทั้งเครื่อง hotpot และเครื่องปรุงน้ำจิ้มสุกี้ 555++ เครื่องดื่มที่นี่ก็หลากหลายมาก แถมมีเบีย์สดให้กดแบบ unlimit อีกตะหาก ยังไม่นับไอติม Haagendazz & Movenpick ที่มีหลายรสกว่าที่บ้านเรามากๆ รวมๆกัน 4 ตู้ใหญ่ สิบกว่ารสชาติ เรางี้เดินหลายรอบ จ้วงจนกล้ามขึ้นเลย XD สรุปว่าประทับใจกับความหลากหลายและคุณภาพของวัตถุดิบของร้านนี้ ถึงจะไม่ได้ถึงกับเทพ แต่โดยรวมแล้ว ดีกว่า buffet ชาบูบ้านเราเยอะพอตัว กลับมาคราวหน้าก็จะไม่พลาดมาโดนร้านนี้อีกแน่นอน
พอตอนอิ่มเดินออกมาก็เห็นคิวยาวหน้าร้านละ เราก็เดินกันสวยๆหล่อๆพุงยื่นๆออกไปเดินย่อยต่อ เนื่องจากทริปนี้เปิ้ลมีภารกิจโดนฝากซื้อรองเท้า (ส่วนเราสบาย เพราะปกติไม่รับฝากซื้อของใดๆทั้งสิ้น 555+) เลยขอไป Onitsuka Outlet ก่อนเลย จะได้ดูก่อนว่ามีรุ่นที่อยากได้ไหม ซึ่งไอ้ร้าน Onitsuka Outlet เนี่ยะ อยู่ที่ Carrefour ชั้นใต้ดิน วิธีการไปก็คือ นั่ง MRT สายสีเหลืองลงสถานี Xianse Temple Station Exit 2 เดินเลาะฟุตบาธถนนไปเรื่อยๆ ผ่านปั๊มน้ำมันซ้ายมือ เดินไปอีกนิดก็เจอห้าง ซึ่งตอนที่ไปถึงของมีไม่มากเท่าไร ไม่มีคู่ไหนโดนใจ แถมราคาก็ไม่ได้ลดอะไรมากมาย เลยเดินเล่นดูร้านอื่นอีกนิดหน่อยแล้วก็ออกไปหาของหม่ำกันต่อที่ Shida Night Market แทนดีกว่า
Shida Night Market เป็นตลาดกลางคืนที่ไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีของกิน ของขายเยอะพอสมควร ของกินทุกอย่าง แต่เพราะยังอิ่มจาก Hotpot ที่กินมาอยู่ เลยกินชิมๆเบาๆพอเป็นพิธีละกัน
หลังจากนั้นด้วยความที่เปิ้ลคาใจบวกกับกังวลเรื่องรองเท้ามาก เลยนั่งรถต่อไป Gongguan Night Market ย่านนี้จะเป็นย่านที่ขายรองเท้าเยอะมากมาก มี Shop เพียบ ทั้ง Nike, New Balance, Brand ดังๆทั้งหลาย สำหรับคนที่อยากดูรองเท้าไม่ควรพลาดตลาดนี้เลย จริงๆๆตลาดอื่นก็มีนะ แต่ที่นี่น่าจะเป็นแหล่งใหญ่ที่สุด แต่พวกเราตะลอนกันขนาดนี้ ก็ยังไม่ได้ แฮะ แต่ก็ถือว่ามาทำหน้าที่ตามหารองเท้าให้คนอื่นละนะ ถึงไม่ได้ก็พยายามแร้นวุ้ย
หลังจากเดินกันขาลากก็พากันตรงว่าจะกลับเข้า รร. เพราะเริ่มดึกละ แต่กลายเป็นพอเดินขึ้น MRT มาที่ Ximending ก็ตื่นตาตื่นใจกับร้านขายของที่มีมาวางกันระหว่างทางเต็มไปหมด กึ่งถนนคนเดินบ้านเรา ที่เอาของมาวางขายสองข้างทาง ทั้งของกินของ Shop โดยเฉพาะของกินที่เป็นรถเข็นนี่มีเยอะเลย แต่ขายไปต้องหนีตำรวจไปนะจ้ะ ซื้อร้านไหนยืนๆอยู่ตำรวจมาเค้าก็จะเข็นหนี แล้วสักพักจะกลับมาใหม่ เหมือนพวกเทศกิจเมืองไทย ก็ขำๆตลกดี ขนาดอิ่มแล้วยังทนกับความน่ากินของร้านพวกนี้ไม่ไหว สุดท้ายเราก็เลยซื้อเกี๊ยวซ่า กับแป้งใส่ไข่ดาวมาทาน จริงๆๆมันเรียกไรไม่รู้อ่ะ เรียกแป้งไข่ทอดละกันนะ ได้กินพอสมใจแล้วก็กลับไปนอนพักร่างกันได้ละ
Day4 17 Oct 2015 เช้าวันนี้ตื่นมาก็หาอะไรทานแถว Ximending มีร้านอาหารเช้าพวกน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ เรทติ้งดีมากเลยกะว่าจะไปลอง แต่ไปแล้วคนแน่นมาก เลยเปลี่ยนแผนเดินดูร้านอาหารแถวนั้น แล้วก็มาได้ร้านนึงชื่อร้าน 365小吃店 เมนูดูทานง่ายๆ มีไข่เจียว ข้าวหน้าไก่ ข้าวหน้าหมูสับต้มซีอิ๊ว และแกงจืดไข่น้ำ รสชาติก็ทั่วๆไปไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษ
กินสร็จออกมาจากร้านข้างบนแล้วยังไม่อิ่มมากเท่าไหร่ เลยเดินไปลองบะหมี่อาจง (Ay-Chung) ที่อยู่ในย่านนี้กันต่อ ร้านนี้เป็น 1 ในลิสต์ที่ต้องเก็บของทริปนี้เพราะมีอยู่ในแทบทุกรีวิวว่าต้องมาลองให้ได้ เวลาเดินผ่านก็จะเห็นคนยืนกินซื้อกันอยู่ตลอดเวลา แต่รอคิวไม่นานเลย เพราะเค้าแค่ตักบะหมี่กับน้ำซุปใส่ถ้วยให้เท่านั้นเอง มีขนาดเล็ก (50 NT) กับขนาดใหญ่ (65 NT) พอได้มาแล้วก็ยืนกินกันแถวนั้นได้เลย ส่วนรสชาตินี่เราว่าน้ำซุปมันคล้ายๆกระเพาะปลาเลยอ่ะ เราเฉยๆนะ ส่วนเปิ้ลบอกว่าชอบแฮะ
ยังไม่พอแฮะ ก่อนไปเที่ยวขอตบชานมไข่มุกจากร้านแถวๆนั้นล้างปากซะหน่อย เค้าว่ามาไต้หวันต้องกินชานมไข่มุกนี่ก็จริงนะ เพราะอร่อยทุกร้านแหล่ะ
กินอิ่มเรียบร้อยก็พร้อมไปเที่ยวได้สักที วันนี้แพลนไปเที่ยว Xinbeitou กัน เราต้องนั่งรถไฟฟ้าสายสีแดง ไปลงที่สถานี Beitou และจากสถานีนี้ เราก็จะเปลี่ยนรถเป็นอีกสายสั้นๆที่เป็น “รถไฟออนเซน” ขบวนแรกของโลก ไปที่ XinBeitou พอออกจากสถานีก็จะเห็นว่าแถวนี้จะมีพวกร้านค้า และโรงแรมออนเซนอยู่เยอะเหมือนกันนะ
แผนที่บริเวณนี้สามารถดูได้ที่ Board ที่อยู่ต้นทางเดินเลย (หลังจากข้ามถนนมาจากสถานีรถไฟ)
Ramen ร้านนี้อยู่ซ้ายมือต้นทางเดินขึ้นเขา ไม่ได้กินหรอกนะ เพราะยังอิ่มอยู่ แต่ดูปริมาณคนแล้วท่าจะเด็ดแฮะ
ทางเดินขึ้นไปจะเป็นเนินยาว มีเหนื่อยอ่ะ คุณป้าที่ไปด้วยถึงกับเหงื่อตก (แต่ยิ้มสู้กล้อง)
จุดหมายแรกของเรา คือ Thermal Valley เป็นบ่อน้ำพุร้อนขนาดใหญ่มาก สีน้ำสวยดี ถ่ายรูปเล่นอยู่ตรงนี้พักใหญ่เลยล่ะ
แชะรูปเล่นเสร็จก็เดินกลับมาเก็บตกที่เที่ยวระหว่างทาง คือ Plum Garden อันนี้ไม่ค่อยมีอะไรอ่ะ เดินเข้าไปแว่บเดียวแล้วก็เดินออกมาเลย ไม่ได้เข้าไปข้างในด้วย แบบว่าขี้เกียจถอดรองเท้า ^^”
พิพิธภัณฑ์น้ำพุร้อนเป่ยโถว (Beitou Hot Spring Museum) แหล่งท่องเที่ยวอันดับที่สองที่ต้องการมาชมของเมืองเป่ยโถว ไม่ได้เข้าไปเหมือนกัน แห่ะๆ
ส่วนที่สุดท้ายที่แวะไปดูก็เป็นห้องสมุดสีเขียวที่โด่งดังของเมืองเป่ยโถว หรือ Beitou Library บรรยากาศร่มรื่นดี แวะถ่ายรูปด้านนอกว่ามาถึง landmark ของ Beitou ก็พอแระ
จากที่นี่ก็ไปกันต่อที่ Chieng Kai Chek Memorial Hall ตอนที่ไปคนเยอะมากเหมือนมีพาเหรดอะไรสักอย่าง และมีเด็กๆมาทำกิจกรรมเต็มเลยมีสีสันดี ซ้อมเต้น ซ้อมดุริยางค์ ครึกครื้นมาก เราสองคนก็เดินตากแดดไป ถ่ายรูปไป กระโดดโลดเต้นไปให้เข้ากับบรรยากาศ 555
อยู่กันจนเริ่มอยากหาไรเย็นๆกินละ แต่หากันแถวนั้นไม่เจอที่น่าสนใจ เลยเอาเป็นว่าตรงไปหาของกินจัดเต็มกันที่ตลาดซื่อหลิน (Shilin Night Market, 士林夜市) เลยดีกว่า ขึ้น MRT ไปลงสถานี Jiantan , Exit 1 โลด
Shilin Night Market เป็นตลาดกลางคืนที่ใหญ่มาก ตอนวางแผนทริปนี้นี่ ใส่ตลาดนี้เข้าไปในแผนก่อนที่เที่ยวอื่นเลย 555+ เพราะของกินเพียบ ตอนที่ไปถึงยังไม่เย็นมาก ร้านค้าก็เปิดกันเยอะแล้ว มาช่วงนี้คนไม่เยอะดี เวลาจะซื้ออะไรก็ไม่ต้องรอคิวนาน ระหว่างเดินสำรวจกันไป เราก็แวะร้านนู้นร้านนี้ลองหม่ำไปเรื่อยๆแทบจะทุกร้านเลย คือมันน่ากินไปซะหมด ชอบอารมณ์หาของกินในตลาดแบบนี้เพราะเราเห็นอาหารเลยว่าหน้าตาจะเป็นยังไง เวลาเราไปกินในร้านเราต้องสั่งจากเมนู หน้าตาออกมามันจะเหมือนที่เราจินตนาการหรือเปล่านี่ต้องวัดดวงกัน แต่นี่อารมณ์มันเหมือนเราได้เดิน shopping ของกินไปเรื่อยๆ กินไปแล้วก็เดินย่อยไป ย่อยเสร็จก็กินต่อ เพลินมาก 555++
มาดูเอาตามรูปเลยละกันว่าเราเสร็จของกินอะไรไปบ้างที่นี่ หลักๆก็ของฮิตที่คนทั่วไปเค้ากินกันนะ อย่าง น้ำกบ (มันจะมีวุ้นๆให้กินเพลินๆ รสชาติออกเปรี้ยวๆหวานๆ อร่อยดี), แป้งไข่ทอด, ไก่ทอด size jumbo (ที่ไม่ใช่ Hot Star), ซาลาเปาอบ, ลูกชิ้น, นมมะละกอ (อันนี้เปิ้ลรีเควส เรากินแล้วแปลกๆ แต่เปิ้ลชอบนะ), ชานมร้านดัง 50 Lan (50嵐), น้ำแข็งใส, และที่พลาดไม่ได้กับเต้าหู้เหม็น! เรากินได้นะ มันก็เหมือนเต้าหู้ทอดอ่ะ แต่น้ำราดเค้าจะไม่เหมือนน้ำจิ้มบ้านเราที่ออกหวานๆ เหมือนมันออกเปรี้ยวๆหน่อย ส่วนรสชาติก็ธรรมดาๆ แต่กลิ่นนี่โชยมาแต่ไกล รู้เลยว่าใกล้จะถึงร้านแล้ว 555++
กินไปช้อปไปได้สักพักใหญ่ๆ เลยตกลงกันว่ากลับไปเดินเล่น Ximending ต่อดีกว่าเพราะคนในตลาดเริ่มเยอะ แบบเดินไปเบียดไปไม่ไหวล่ะ ที่ Ximending ตอนกลางคืนนี่ก็ดูคึกคัก มีสีสันเหมือนเดิม
ตั้งใจว่าจะไป Shop Onitsuka สักหน่อย เดินไปเดินมา แอ๊บอยากทานฟรายจ้า ส่วนเปิ้ลก็อยากทานไก่ทอด เลยไปลอง TKK Fried Chicken แต่สรุปยังไม่โดนเท่าไรอ่ะ ฟรายออกเหมือนมันทอดบ้านเราที่ขายกับกล้วยแขกอ่ะ ออกหวานๆ ไก่ก็ธรรมดา เลยเดินหาเป้าหมายใหม่
ผ่านร้านขนมร้านนี้ สะดุดกึกหน้าร้านทันทีด้วยดีไซน์ขนม แบบว่าเฮ้ยยดีไซน์ไม่ใหม่ แต่ไอเดียแจ่มหว่ะ น่าซื้อไปเป็นของขวัญให้สาวๆหรือเพื่อนเกย์ม๊ากมากกกก 555++
เดินไปเดินมาอยากกินฟรายส์อ่ะ เลยกลับไป Hot Star แบบว่ามาร้านนี้ไม่สั่งไก่ขอฟรายส์ only รสชาติก็ธรรมดาๆ รู้สึกไม่ฟินเลยเดินเล่นหาของกินต่อจากร้านรถเข็นข้างทางต่อ พวกร้านรถเข็นนี่บางร้านก็อร่อย บางร้านก็ไม่อร่อยนะ แถมบางคืนก็มีร้านซ้ำๆกันบ้างเหมือนกัน เท่าที่ได้ลองกินนี่ลูกชิ้น & โรตีไข่เนี่ยะอร่อยเลย อย่างอื่นก็ธรรมดาๆ เดินกินกันอิ่มพุงกางเรียบร้อยถึงจะยอมกลับรร.ไปนอนกันได้ 😆
Day5 18 Oct 2015 ทุกเช้าหลังจากตื่นนอน สิ่งแรกที่ต้องคุยกันก่อนเลยคือเช้านี้จะกินร้านไหน?! พลิกลิสต์ไปๆมาๆ เปิ้ลขอไปร้าน Chun Shui Tang (春水堂) ที่เป็นร้านต้นตำรับชานมไข่มุกให้สมกับเป็นสาวกฯชานมหน่อย ตอนไปนี่คือไปตามที่ guide book บอกมา เดินหลงทางถามคนแถวนั้นกันอยู่พักใหญ่เลยกว่าจะเจอ สรุปเส้นทางไว้ให้หน่อยละกันคือ “ลง MRT สถานี Taipei 101/World Trade Center (台北101/世貿) หรือ Xiangshan (象山) station หรือ Taipei City Hall Station Exit 3 สาขานี้คือสาขาซิ่นอี้ (Xinyi) ตั้งอยู่ที่ห้าง Shinkong Mitsukoshi A9 ชั้นใต้ดิน (B1F)“ พอไปถึงตรงดิ่งเข้าไปในร้านด้วยความหิวจัด แต่พอเห็นเมนูล่ะผิดหวังเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยหลากหลายเท่าไร จะสั่งแต่ชานมมากินแล้วเดินไปหาอย่างอื่นกระแทกท้องก็กระไรอยู่ เลยจัดมารองท้องก่อนไปกินอย่างอื่นต่อ อย่างแรกที่พลาดไม่ได้เลยก็ต้องชาไข่มุกที่เป็นของขึ้นชื่อของร้านรวมทั้งเป็นเป้าหมายของการมาร้านนี้ด้วย ส่วนอาหารที่สั่งไปมีเป็นเส้นหมี่หน้าหมูพะโล้ กับอีกอันเป็นเต้าหู้อะไรสักอย่าง ขนมผักกาดแล้วก็ติ่มซำ รสชาติอาหารออกจืดๆไม่ถูกปากเท่าไร ส่วนชานมไข่มุกที่เป็นต้นตำรับของเค้าถือว่าอร่อยจริง คือหอมและหวานน้อยมาก ชาเค้าออกแนวหอมๆเบาๆแบบกินแล้วไม่รู้สึกผิดว่าน้ำตาลเต็มเปี่ยม แต่ก็ไม่ได้ถึงกับติดใจว่าอร่อยมาก ห้ามพลาดขนาดนั้น แต่แนะนำว่าถ้าบังเอิญผ่านมาร้านนี้ก็สั่งชานมแบบกลับบ้าน เดินกินไปเลย ไม่ต้องมานั่งทานอาหารหรอก งั้นๆมากกกกก
ท้องอิ่มละ ก็ออกเดินทางกันต่อเพื่อไปที่พิพิธภัณฑ์กู้กง โดยนั่งรถไฟฟ้าสายสีแดงมาลงที่สถานี Shilin แต่ระหว่างทางพอลงสถานีมาเจอร้าน Sushi Take Out ยอดฮิต เลยซื้อมาลองชิมหน่อยอร่อยใช้ได้เลยแหะ ไม่แพงด้วย
หลังจากนั้นก็เดินออกจากสถานีมาขึ้นรถบัสสาย 30 เพื่อไปยังจุดหมายปลายทางของเรา คือ พิพิธภัณฑ์กู้กง (Gu Gong National Palace Museum, 故宮博物院) ที่เลือกรถสายนี้ เพราะสุดสายคือพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกู้กงเลย รถจะวนเข้าไปจอดถึงด้านในอาคาร ไม่ต้องเดินไกลมาก (คุณนายเปิ้ลขอเซฟกำลังขาเอาไว้ไปเดิน shop น่ะ 🙄 ) ตอนขากลับก็มาขึ้นที่เดียวกันนี่แหล่ะกลับ ตารางเดินรถตามในรูปเลย
จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นถ่ายรูปเก็บบรรยากาศรอบๆ แต่ไม่ได้เข้าไปดูในส่วนของพวกของโบราณเพราะไม่ได้อินทั้งคู่ แถมผู้คนที่ส่วนใหญ่เป็นกรุ๊ปทัวร์ก็มากมายมหาศาล เลยขอเอาบรรยากาศรอบนอกดีก่า
ถ่ายรูปไปเดินเล่นไป ได้พักใหญ่ๆก็เดินกลับมารอรถที่จุดเดิมที่เราลงนั่นแหละ เพื่อที่จะนั่งรถกลับไปที่สถานี Shilin แต่ระหว่างทางยังไม่ละความพยายามในการตามล่าหารองเท้า หาข้อมูลอ้าวมีร้าน Family Shoes ที่สามารถไปได้ด้วยรถไฟสายสีแดง ห่างจากสถานี Shilin มาไม่กี่สถานี ไหนๆก็ทางผ่านละขอแวะไปดูสักหน่อย สาขาที่ไปคือ Chengde Datong near Yuanshan MRT Station Exit 1 ตอนแรกเดินอ้อมหลงไปอีกทาง พอเจอร้านคุณนายดีใจใหญ่เลย ร้านค่อนข้างใหญ่ มี 2 ชั้น แต่รองเท้าก็ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไร แต่ขนาดไม่ค่อยน่าสนใจเปิ้ลยังได้รองเท้ามาให้ทั้งตัวเอง/แม่/พี่ชาย ครบเลย ส่วนระหว่างคุณนายเลือกรองเท้าเราก็แว่บไปเดินสำรวจแถวๆนั้นแล้วก็กลับมาพร้อมไอติมเป็นของฝากคุณนาย อิ อิ
คุณนายได้รองเท้าหลายคู่แล้วยังไม่หนำใจ ขอตามหา Onitsuka ต่อ เลยว่าจะไปกันที่ห้าง Sogo ตามโพยที่ได้มาจาก pantip เลย ถ้าไม่ถูกใจอีกก็หมดมุขละ เพราะตระเวณจะครบทุกที่ตามโพยแร้ววว 555++ แต่ก่อนไปขอหาอะไรกินกระแทกท้องหน่อยเหอะ ก็เดินๆไปเจอร้านที่เป็นเซ็ทเมนู พวกข้าวหน้าดูหน้าตาดีแฮะ เลยจัดไปคนละเซท
ท้องอิ่มละก็ไปตามล่า Onitsuka ต่อ ที่นี่แบบเยอะจริง แต่ดูราคาแล้วพอไม่ได้ลด ราคาก็พอๆกับเมืองไทย เลยไม่ได้ซื้อเลยสักคู่ คุณนายคงหายคาใจละ เพราะก็ไปแทบทุกสาขามาละ ออกจากที่นี่ก็กลับไปเดินเล่นแถว Ximending ถิ่นวัยรุ่นอย่างเราต่อ
พอมาถึงเก็บของที่ รร เสร็จ ก็ออกไปเดินเล่น ด้วยความที่ตั้งใจไว้ว่าอยากชิมร้านน้ำแข็งใส เพราะเห็นบอกขึ้นชื่อมากที่ไต้หวัน เลยไปลองตามลายแทงที่บอกว่าร้านนี้เด็ดซะหน่อย อยู่แถว รร. เราด้วยเลยจัดไปสะเลย เมนูดูน่ากินดี มองๆแล้วก็ได้ไอ้ชามนี้มา ทานแล้วสดชื่นดีเหมือนกัน แต่สำหรับเราเราว่ามันหวานไปอ่ะ น้ำแข็งไม่ได้เนียนมาก ผลไม้ก็จะออกแบบว่าฉ่ำๆเละๆไปหน่อย ยังงัยก็ติดใจบิงซูเกาหลีมากกว่า
เก็บของที่ต้องลองล่ะคราวนี้ก็ถึงเวลาตระเวนเดินเล่นเก็บตก เดินไปได้สักพัก ก็วกกลับมาหาของหม่ำอีกแล้ว เดินผ่านๆแอบเล็งกันไว้หลายร้าน เลยสรุปซือที่อยากลองมาลองหมดเลย ซื้อมาหลายอย่างเลยกลับไปนั่งหม่ำที่ รร เลยละกานเพราะส่วนใหญ่มันเป็นร้านแบบข้างทางไม่มีที่นั่ง แถมที่รร.เรามีทั้งที่นั่งสบายๆ น้ำดื่มหลากหลาย แถมมาม่าอีกตะหาก XD มาดูลิสต์หน่อยว่าซื้อไรมากินมั่ง
- ไก่ทอดจากร้านนึงใกล้ๆโรงแรม อันนี้ชอบมากอร่อยฟิน ถูกใจกว่า Hot Star อีก ประทับใจ ยกให้เป็นสุดโปรดของทริปนี้ ฟรายส์เค้าก็อร่อย แหล่มมากกกก
- มันฝรั่งราดชีส ร้านดัง เห็นมาหลายรีวิวละ อันนี้ก็ดีงามมาก อร่อยเนียน ใครมาแนะนำให้มาลอง
- มาม่าของที่ รร. — เมนูนี้จะกินกับอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ก็ฟินนนนนะ
- ชานมไข่มุก ร้านเดิม — อร่อยแบบ no complain นะจ๊ะ
- Soft Cream 7-11 — กินจนติดใจ อยากให้ 7-11 เมืองไทยมีบ้างงงงงงงงงงง
พออิ่มละก็ลงไปเดินย่อยกันอีกรอบ เดินไปเดินมา มาเจอร้าน ABC ใหญ่มากรองเท้าเพียบเลย แต่ว่ามันใกล้ปิดแร้นเลยเดินโฉบๆๆหมายตารองเท้าละเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาสอย จากนั้นก็เดินเล่นเก็บบรรยากาศ ดูร้านรวงสองข้างทางได้เวลาก็กลับ รร เพื่อมาแพคข้าวของที่ซื้อมา เพราะเดี๋ยวพรุ่งเน้ต้องกลับแร้ววว เวลาเที่ยวนี่มันผ่านไปไวจริงๆ ก่อนกลับขึ้นห้องก็แวะคุยกับพนักงานรร.เพื่อถามเรื่อง Late Check-Out กับเรื่องหาแท็กซี่ให้ไปส่งที่สนามบิน ทางรร.ก็น่ารักมากจัดการให้ทุกอย่าง บอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะแจ้งแท็กซี่ให้มารับตามเวลาที่เราบอกไว้ คุยเรียบร้อยก็ขึ้นห้องจัดของ เสร็จแล้วก็สลบกัน มาที่นี่เดินกันวันละเฉลี่ย 20,000 ก้าว up ไม่รวมแบกของ + กินเหนื่อย คิดเอาว่าควรสลบมั๊ย เหนื่อยกาย เหนื่อยพุง หลับดีก่าาาา …. คร่อกกกกก
Day6 19 Oct 2015 เช้าวันนี้ตื่นมา เล็งกันอยู่ว่าเช้านี้จะไปหม่ำอะไรดี เดินวนไปวนมา เลยลองกลับไปที่ร้าน 永和豆漿 ที่เล็งไว้ตั้งแต่วันก่อน ร้านนี้ขึ้นเป็น Best Nearby ใน Foursquare ปรากฎว่าไปถึงคนไม่เยอะเท่าไร เลยขอลองจัดซะหน่อย สั่งไปหลายอย่างทั้งน้ำเต้าหู้ เสี่ยวหลงเปา ขนมผักกาด แล้วก็แป้งคล้ายโรตีใส่ไส้ไข่แฮม ประทับใจทุกสิ่งอย่างเลย รสชาติดีมาก โดยเฉพาะน้ำเต้าหู้อร่อยกลมกล่อมสุดๆ สมกับ rating ใน Foursquare & สมกับที่พยายามตั้งใจกลับมากิน ^^
กินเสร็จแล้วคุณนายก็เดินกลับไปร้าน ABC Mart อีกรอบเพื่อไปซื้อรองเท้าที่เล็งไว้ สรุปได้รองเท้ากันมาอีกทั้งคู่เลย หายค้างคาใจ ไม่เสียเที่ยว
เดินเล่นเก็บตกของอีกสักพักก็ได้เวลาเดินกลับไปรร.แพคของรอบสุดท้าย ก่อนลงมาเช็คเอาท์ เสร็จเรียบร้อยแล้วพนักงานของรร. ก็เดินมาส่งเราขึ้น Taxi ตรงดิ่งไปสนามบิน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ก็ถึง ThaoYuan Airport ค่ารถ 1000 NTD แบบนี้ก็สบายดีนะ ไม่ต้องแบกกระเป๋าให้พะรุงพะรัง แถมยังหนักกว่าตอนขามาอีก
พอถึงสนามบินก็จัดการ Check-in อะไรไปตามเรื่องแล้วก็ผ่านเข้ามาด้านใน ใช้เวลาไม่นาน ด้านในก็มีร้านค้าให้เดินดูแก้เบื่อได้พอประมาณ
ส่วนพวกเราก็มาหาอะไรทานกันก่อนขึ้นเครื่อง เลยได้มาลงเอยที่ร้าน Homee Kitchen อาหารเป็นสไตล์ง่ายๆ เลยสั่งก๋วยเตี๋ยว กับข้าวหมูพะโล้มาทานกัน ก๋วยเตี๋ยวธรรมดานะ แต่หมูพะโล้อร่อยเข้มข้นดี
อิ่มท้องแล้วก็เดินเล่นดูของในสนามบิน เอาเหรียญไปกดน้ำจากตู้มาเพื่อละลายเหรียญให้หมด แล้วก็ไปนอนเล่นที่ Gate รอเวลาเครื่องออกตอน 16:00 เก้าอี้นอนสบายมากดูจากท่าคุณนายได้
19:00 ก็กลับถึงดอนเมืองเรียบร้อยอย่างประทับใจกันไป สรุปว่าเราชอบนะไต้หวัน ติดใจ Ximending กับ ตลาดกลางคืนทุกๆที่ของเค้าเป็นพิเศษ คงเพราะเราเป็นคนชอบกินและชอบเดินดูนั่นนี่ เพราะงั้นบรรยากาศที่ Ximending กับตลาดกลางคืนตอบโจทย์เราได้ดีเลย ส่วนที่เที่ยวต่างๆที่ไป ไม่ได้ประทับใจที่ไหนเป็นพิเศษสักกะที่ เหมือนไปประทับตราเฉยๆว่ามาแล้วนะเฟร่ยยยยย เวลาใครถามว่าไปไต้หวันได้ไปนู่นนี่นั่นมายัง จะได้ตอบได้มั่ง ไม่ใช่อยู่แต่ Ximending กะตลาดฯ 555++
ส่วนค่าใช้จ่ายของทริปนี้ของทั้ง 2 คน (ไม่รวมค่ากิน) สรุปตามนี้ เฉลี่ยแล้ว 5 วัน 4 คืนประมาณคนละ 18,105 บาท แต่ได้เที่ยวแบบตามใจเราจริงๆ ส่วนค่ากินนี่บอกได้เลยว่าไม่แพงเฉลี่ยๆคนละราวๆไม่เกิน 3-4 พันแน่นอน เราดูราคาทัวร์แล้ว เริ่มต้นก็ราวๆนี้ แต่นอน 3 คืน โปรแกรมไม่ชิลเท่านี้ เอาจริงๆไปกับทัวร์อาจจะสบายกว่า ไม่ต้องแพลนอะไรมาก แต่การไปเองแบบนี้ดีกว่าตรงที่อยากอยู่ตรงไหนนานก็ได้ ปรับเปลี่ยนโปรแกรมตามใจชอบจริงๆนะ ได้ตะลุยทุก Night Market ก็คุ้มแล้ว ^^
เราว่าถ้าไต้หวันเลิก visa เมื่อไหร่ น่าจะฮิตเพิ่มขึ้นอีกมาก ตอนนี้เริ่มมีสายการบิน low cost หลายเจ้าแล้วด้วย น่าไปไม่แพ้ฮ่องกงเลยล่ะ จิบอกให้ คือไปแบบวัยรุ่น ไม่เน้นเที่ยว แต่เน้นชิลๆกินๆ เดินเล่น ช้อปปิ้งบ้างไรบ้าง จะแหล่มมาก แต่ขอบอกว่าก่อนไปให้เตรียมล้างท้องไปเพื่อกินได้เลย ส่วนพอตอนกลับมาก็ต้องเตรียม diet ขนานใหญ่กันไป ชาว diet ควรทำใจ อย่าไปกังวลกับนน.ที่เพิ่มมาจากทริปล่ะ ค่อยมาเอาออกทีหลังได้ ไปกินคลายเครียดให้เต็มที่นะ ไม่งั้นจะเสียดาย XD
Leave a Reply