ชีวิตการทำงานในเมืองไทย 2007-2014
มาลองย้อนๆดูตั้งแต่เรากลับมายังไม่ได้มีการ update blog ชีวิตการทำงานเลย โดย blog ล่าสุดเรื่องงานนี่ตั้งแต่ปี 2008 โน่นเลย เลยขอมานั่งทวนความทรงจำเขียนสรุปไว้สักหน่อย
Activemedia
นับตั้งแต่กลับมาถึงเมืองไทยวันที่ 29 Nov 2006 เราก็มีเวลาว่างจัดการธุระ & settle down ได้ราวๆเดือนกว่าๆก็ได้ลองไปทำงานที่บริษัท Activemedia กับทางพี่ Varit ซึ่งตอนนั้น product หลักของบริษัทคือ NOD32 Antivirus ตัว office อยู่ใกล้บ้านมากคืออยู่ในส่วน office ของโรงแรม Swissotel Le Concorde แถวห้วยขวาง ห่างไปแค่ 2 สถานี MRT แต่พอได้ลองไปเริ่มงานดูแล้วก็บอกได้เลยว่า nature การทำงานที่บริษัทนี้มันไม่เหมาะกับเราเลย ทำๆไปแล้วรู้สึกอึดอัดทั้งกับลักษณะของหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน รวมทั้งการที่เราต้องไปมีส่วนร่วมในการประมูล (bid) project ต่างๆที่บางทีก็ต้องไปในส่วนของภาครัฐ รวมทั้งต้องมีการพาเจ้าหน้าที่พวกนั้นไปกินข้าว entertain เหมือนกึ่งๆใต้โต๊ะ ที่จริงๆบริษัททั่วไปเค้าคงทำกันจนเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับเราที่อาจจะเป็นคนตรงไปตรงมาเลยรู้สึกอึดอัด (มาก) เพราะงั้นเลยทำงานไปได้ไม่ถึงเดือนก็บอกพี่เจ้าของบริษัทเลยว่าไม่ทำต่อนะพี่ แบบว่าออกมาแบบไม่เอาเงินเดือนอีกตะหาก (คิดแล้วยังเสียดาย 555)
Merck Ltd
จากนั้นเจ้าติ๊ก เพื่อนตั้งแต่สมัยธรรมศาสตร์ ก็ชวนให้ไปลองสมัครที่ Merck Ltd ดู เพราะตอนนั้นติ๊กทำงานอยู่ที่นั่น และจะได้ค่าหัว 10,000 ถ้าชวนคนไปสัมภาษณ์แล้วเค้ารับ ตอนนั้นก็ว่างอยู่ เลยไปลองคุยดู โดนเรียกคุยไปหลายรอบ ด่านสุดท้ายคือสัมภาษณ์กับ MD (Mr. Heinz Landau) สุดท้ายก็ได้ ตอนนั้นก็ยังงงๆกับไอ้ติ๊กอยู่ว่าเค้ารับจริงด้วยเว้ย 555++ ตอนนั้นนี่ไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับธุรกิจของ Merck เลย รู้ว่าเป็นบริษัทยา & เคมีภัณฑ์ และตอนทำงานอยู่ที่ Verari, USA เคยเข้าไป support งานที่ Merck สาขา Seattle ตอนนั้นยังคิดว่าบริษัทนี้ไฮโซดีแฮะ สรุปสุดท้ายก็ได้มาลองทำในบริษัทที่เมืองไทยโดยเข้าไปทำตำแหน่ง Software Engineer ซึ่งงานหลักก็คือทำ software ตาม requirement ของ BU ต่างๆ รวมทั้งกึ่งๆ IT Support ไปในตัว ถามว่าชอบมั๊ย บอกได้เลยว่าไม่ชอบเท่าไหร่ แต่ข้อดีมากๆของ Merck นี่บอกได้เลยว่ามีหลายข้อเลยนะ
1. ข้อแรกเลยคือ “คน” คือที่นี่มีข้อดีคือจะ educate คนตลอดเวลา โดยเน้น soft skill & EQ ด้วย เพราะงั้นคนในบริษัทจะมีอัธยาศัยดี EQ สูง ใส่ใจในความรู้สึกกันมาก
2. สภาพแวดล้อมการทำงาน –> office อยู่ใน emporium ไม่น่าเบื่อดี มีของกินทั้งในห้าง นอกห้าง ให้เลือกได้ค่อนข้างเยอะ ตัว office เองก็ดูดีด้วย
3. เงินเดือน & benefits –> เงินเดือน & benefits ที่นี่ให้ค่อนข้างดีเลย ทำงานไปครบปีก่อนจะออกยังได้ปรับเงินเดือน 9% ซึ่งเราว่าค่อนข้างเยอะอยู่นะ
4. Outing –> มี outing ทั้งแบบชิล และไม่ชิล ยังไม่นับรวมพาไปเที่ยวตปท.ทุก 2-3 ปี (แต่เผอิญอยู่แค่ปีเดียวเลยไม่ได้ไป T-T)
5. ดูงาน/สัมมนาต่างประเทศ –> มีโอกาสได้ไปสัมมนา หรือไปดูงานตปท.เยอะอยู่นะ อย่างเรามาได้แป๊บเดียวก็ได้ไป workshop iscala ที่สิงคโปร์ด้วย
ดูๆแล้วมีแต่ข้อดีเนอะ แต่ข้อเสียจริงๆสำหรับการทำงานที่นี่สำหรับเราเลยมีเรื่องเดียวคือ “ตัวงาน” เพราะงานที่นี่เหมือนทำ software ตาม requirement ของ BU ใครอยากได้โปรแกรมอะไรก็บอก requirement มาแล้วก็ทำเพิ่มๆๆไป ซึ่งก็ทำได้แหล่ะนะ เพียงแต่ไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะจริงๆตัวเองก็ไม่ได้ชอบงานเขียนโปรแกรมขนาดนั้น และตัวโปรแกรมที่ต้องเขียนมันก็ไม่ได้ดึงดูดให้อยากทำด้วย มันก็เลยกลายเป็นไม่มี passion ในการทำงานสักเท่าไหร่ ไม่ชอบตัวเองเวลารู้สึกแบบนี้ มันดูเอาเปรียบบริษัทด้วย … พอดีในจังหวะนั้น Merck มีจัดไป outing ที่พัทยาและก็เชิญวิทยากรเป็น คุณธนา เธียรอัจฉริยะ ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้บริหารของ DTAC และเป็นคนพลิกแบรนด์ Happy ให้ยิ่งใหญ่ได้ ฟังคุณธนาพูดแล้วรู้สึกมีไฟ อยากร่วมงานกับ DTAC บ้าง ตอนนั้นเลยกลับไปส่งใบสมัครเลย คือส่ง resume ไปที่ recruit ของ DTAC เอาดื้อๆเลยแหล่ะ บอกว่าช่วย consider ด้วยถ้ามีตำแหน่งที่ fit กับ profile ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้หวังเท่าไหร่ว่าจะได้งานใหม่หรืออะไรเพราะเหมือนส่งไปลอยๆโดยที่ไม่ได้สมัครไปตาม job opening อะไร แต่ไม่นานก็มีคนจากทาง HR ของ DTAC ติดต่อมาจริงๆ!
DTAC
ตอนนั้นทาง HR ของ DTAC เรียกไปสัมภาษณ์กับพี่ art (Sanae Piewrattanakul) ซึ่งต่อมาก็คือหัวหน้าโดยตรงของเรา หลังจากนั้นก็ได้เข้ามาทำงานกับ DTAC ในตำแหน่ง Application Lead โดยมี Ranking = Assistant Manager (เริ่มงานวันที่ 16 Mar 2008 เลยลาออกจาก Merck หลังจากทำงานมาได้ประมาณ 1 ปีพอดีๆ) เข้าไปช่วงแรกๆก็ไปดูในส่วนของ VAS (Value Added Services) หลักๆตอนนั้นก็คือดูแล Service ทั้งหลายแหล่ แต่ช่วงแรกๆดีหน่อยคือเราจะมีทางบริษัท outsource มาทำงานให้ ส่วนเราเองก็เป็นคนดุแล service ในภาพรวม & manage outsource ไปด้วย เข้ามาตอนแรกในทีมก็มีกันอยู่ไม่กี่คน มีวู้ดดี้, พี่ดิว, พี่เจน, พี่มี่ และหลังจากนั้นต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป โดยตอนนั้นทางพี่เสน่ห์เค้าก็ถามนะว่าถ้าเลือกได้อยากไปดูอะไร เราก็เลือก VAS รู้สึกแค่ว่าชื่อนี้มันเท่ห์ดี 555++ สุดท้ายตลอดการทำงานที่ DTAC เลยได้อยู่ VAS มาตลอดเลย การเปลี่ยนแปลง OC ครั้งใหญ่ๆจะมี 2 ทีคือ:
1. Service Platform Unit, Network & Service Platform Dept, Service Operation Division
2. VAS Operation Unit, VAS Dept, Network Services Division
วิวัฒนาการการทำงานที่ DTAC นี่ก็เริ่มจาก Application Leader -> Service Leader -> Team Leader ส่วน ranking ก็เริ่มจาก Assistant Manager จนมาจบที่ Senior Manager ตอนได้ promote เป็น Team Leader เมื่อปี 2012 … คิดๆดูแล้ว ทำงานมาเกือบ 6 ปี ได้เลื่อนมา 2 ขั้นถือว่าดีหรือเปล่านะ น่าจะเรียกว่าพอรับได้ไม่เซ็งล่ะมั๊ง 🙂
เรื่องเงินเดือนตั้งแต่ทำที่ Merck จนมาถึงที่ DTAC เราว่าเราพอใจแล้ว ไม่ได้มีความเซ็งเรื่องเงินเดือนหรือผลตอบแทนอะไร แต่ช่วงหลัง หลังจากที่ได้ promote มาเป็น leader มี team ของตัวเอง ต้องเป็น people manager แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าอึดอัดในหลายๆครั้งเหมือนกัน เพราะเป็นคนกลาง ต้องรับนโยบายเบื้องบนมาคุยกับทางน้องในทีม ทั้งๆที่บางเรื่องไม่ค่อยเห็นด้วยแต่ก็ fight ไม่สำเร็จเพราะเป็น direction พอ fight มากก็โดนมองไม่ดีไปซะอีก ส่วนการเป็น people manager ก็ต้องคอยดูแลความรู้สึกของคนในทีม รวมทั้งดูงานภาพรวมของทีมไปด้วย เห็นน้องๆทำงานมี JD มากมายก่ายกองมากกว่าคนอื่นๆ แต่โดนจำกัดเรื่องการ promote, ขึ้นเงินเดือน, ขอ resource เพิ่ม แถมยังโดนลด cost ตัด budget ต่างๆ จะให้งานน้องทำก็เห็นใจน้องไปด้วย เป็นความเซ็งสะสมมาเรื่อยๆ …
ช่วงกำลังเซ็งก็มีโอกาสเข้ามาพร้อมๆกัน 2 ทาง คือมีโอกาสจากทาง Cisco ตำแหน่ง HTOM (งานนี้พี่มิเชลเป็นคนนำเสนอมา โดยเราจะขึ้นตรงกับหัวหน้าที่ Singapore) & Minor ตำแหน่ง PMO Director (งานนี้พี่ art แนะนำมาให้อีกที แต่พอลองคุยแล้วมันไม่ใช่แนวเรา เลย skip ไป)… จริงๆก็ไม่ได้คิดว่าอยากจะออกจาก DTAC นะ ให้อยู่ไปเรื่อยๆก็อยู่ได้ เพราะจริงๆการทำงานที่นี่มีแต่ข้อดี
1. Team ดี & ยังไม่เจอเพื่อนร่วมงานงี่เง่าจนรับไม่ได้
2. มาทำงานง่าย เดินทางสะดวกมาก MRT ถึงเลย
3. Benefits ที่นี่ก็ดี เงินเดือนก็โอเค
4. Environment การทำงานก็ดี ออฟฟิศใหม่ น่าทำงานมาก
5. ของกินก็มีให้เลือกเยอะ ใกล้สีลม สยาม หาร้านใหม่ๆกินได้สบายมาก
แต่คิดว่าอยู่ที่นี่มาก็ 6 ปีแล้ว เราควรเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างหรือเปล่า ควรจะออกจาก comfort zone บ้างมั๊ย ไปเรียนรู้โลกภายนอกหน่อยเหอะ จากก่อนหน้านี้ทำ Verari/Merck เราได้ความรู้เรื่อง hardware/programming มาเต็มๆ, มาอยู่ที่ DTAC เราได้ความรู้เรื่อง Telecom & Services เพิ่มมาละ แต่ตอนนี้ที่อ่อนอยู่เลยคือ Networking สุดท้ายเลยตัดสินใจว่าเราจะไปทำงานใน skill ที่เราอ่อนที่สุุดกับบริษัทที่มีชื่อเสียงด้าน network ที่สุด .. ก็คือ Cisco นี่แหล่ะ!! แต่ข้อดีเรื่องอื่นๆก็เป็นเหตุผลสำคัญในการประกอบการตัดสินใจด้วยเหมือนกัน หลักๆเลยก็คือการทำงานแบบ virtual office! คือที่นี่สามารถ remote ทำงานจากที่ไหนก็ได้ ไม่ได้ require ให้เราต้องเข้าออฟฟิศตลอดเวลา เจอเรื่องนี้ไปโดนใจเต็มๆ เพราะชีวิตก็เริ่มเบื่อกับการทำงานเป็น routine เหมือนกันทุกวัน ต้องเข้าออฟฟิศและอยู่ในออฟฟิศทุกวัน เพราะงั้นเรื่องนี้เลยเป็นเหตุผล support ในการตัดสินใจเกิน 50% ส่วนเรื่องเงินเดือน & benefits ก็เป็นเหตุผลรองๆลงมา (ก็นะ ย้ายงานยังไงก็ต้องขอให้ผลตอบแทนดีขึ้นบ้างเหอะ จะได้รู้สึกดี 555++)
สุดท้ายเลยตัดสินใจลาออกจาก DTAC โดยมีผลวันที่ 28 Feb 2014 … คิดๆดูแล้วก็คือทำงานที่ DTAC มาเกือบจะครบ 6 ปีพอดี ขาดไป 15 วัน … ใจหายนะ เพราะเป็นบริษัทที่ทำงานด้วยนานที่สุดละ เรายังรัก DTAC อยู่ และคิดว่า DTAC ให้อะไรเรามากมาย ทั้งค่าตอบแทน ความรู้ เพื่อนดีๆทีมดีๆ ประสบการณ์ดีๆ ที่เลือกไปเพราะต้องการเพิ่มเติมประสบการณ์ + หาอะไรใหม่ๆมากระตุ้นตัวเอง แต่ความทรงจำดีๆ ความรู้สึกดีๆก็ยังอยู่ในใจไปตลอด สุดท้ายก็เลยขอทำ mv ไว้สักอันเอาไว้ดูให้คิดถึงซะหน่อยเหอะ
ส่วนหลังจากนี้ชีวิตที่ cisco จะเป็นยังไง ผ่านไปสักพักนึงจะมา update blog ต่อไปนะ
ดูชีวิตสนุกดีอ่ะ ได้เจอคนเยอะด้วย อียากลองแบบนี้บ้างนะ
จริงๆเราเป็นคนรักสันโดษนะ ถ้าอย่างวันหยุดจะค่อนข้างปลีกวิเวกเลยแหล่ะ พักร่างกาย&จิตใจ หลังจากเจอคนมาเยอะๆตลอดทั้งอาทิตย์ 🙂