My Life : Update : 25 Sept 2006
รู้สึกว่าเสียความตั้งใจที่ว่าเราจะ update blog เราบ่อยๆ หลังจาก setup เวบ abbster.net นี้ขึ้นมา พอดีช่วงที่ผ่านมายุ่งมากๆ จริงๆคือมันยุ่งมาตั้งแต่กลับมาจากเมืองไทยเมื่อต้นปีแล้ว หลังจากกลับมาก็ทำงานๆๆลูกเดียว แล้วพอดีช่วงสามสี่เดือนที่ผ่านมานี่ยุ่งมากเป็นพิเศษ เพราะว่าเมื่อหลายเดือนก่อน Intel กำลังจะ Launch Platform ใหม่ เพราะฉะนั้น เค้าก็จะส่งตัว Alpha, Beta hardware มาให้ทางเราทดลองก่อน แล้วก็อย่างที่รู้ๆว่าพวก Product ใหม่ๆเนี่ยะ ปัญหามันก็จะเยอะมากๆๆๆ แถมเราก็จะเจอการกดดันจากทางเซลล์ เพราะว่าลูกค้ารายใหญ่ทั้งหลายแหล่ ก็จะอยากทดลอง Platform ใหม่ก่อนที่มันจะ launch ออกตลาดจริง เพราะงั้นเวลาที่เราส่ง test system ไปให้ลูกค้า ส่วนใหญ่เค้าก็จะเจอ bug เจอปัญหา แล้วเราก็ต้องมานั่งแก้อีก เลยวุ่นวายมาก
ช่วงหลังๆที่ทำให้ยุ่ง(มากกๆๆๆๆๆ) เพิ่มขึ้นมา ก็เพราะว่าโปรเจค MSN : Windows Live Online นี่แหล่ะ เพราะว่ามูลค่าของดีลนี้ ถ้าทำสำเร็จคือเยอะมากๆ เพราะฉะนั้นทุกๆฝ่ายในบริษัทก็จะตื่นตัวกับโปรเจคนี้มากๆๆ ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเรายุ่งกับโปรเจคนี้มาตลอด คือต้องทำ initial testing ทั้ง software & hardware แล้วก็เป็นคนกำหนดว่าเราจะใช้ hardware ตัวไหนเพื่อที่จะ meet requirement ของทางไมโครซอฟท์ด้วย ตอนนี้เลยเป็นคราวของ Engineers ด้านอื่นๆที่ต้องแก้ปัญหา(ที่ยังมีอีกเพียบ)ต่อไป ไม่น่าเชื่อว่าแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆก็ทำให้ผลการเทสล่มได้เหมือนกัน เช่นกระแสไฟ ความร้อน vibration ทุกๆอย่างมีผลต่อ stability มากๆ ก็ต้องเทสกันต่อไป เฮ่อ
เีราสิ ตอนนี้เครียดจนเลิกเครียด จนจะเครียดใหม่อีกรอบ สงสัยเป็นเพราะเราค่อนข้างกดดันตัวเองอ่ะ เวลาที่ทำงานแล้วทำไม่ได้ ก็จะพยายามหาทางทำมันใ้ห้ได้ เวลาได้รับ assign งานแล้วทำไม่ได้เนี่ยะ จะรู้สึกแย่มากยังไงก็จะต้องพยายามหาวิธีแก้ปัญหาให้ได้ ไม่งั้นไม่สบายใจ อีกอย่างคือเรารู้สึกว่าเวลาที่มีคนถามอะไรแล้วเราไม่รู้เนี่ยะ มันรู้สึกแย่มาก ถึงส่วนใหญ่ที่เค้าถามมันจะไม่ได้เกี่ยวกับงานเราก้อเหอะ แต่มันก็รู้สึกว่า อะไรวะ ทำไมเราไม่รู้วะ แล้วก็เลยต้องค้นคว้า่เพิ่มเติมเอาเอง ทำให้รู้สึกว่าโห ทำไมเรามีอะไรต้องเรียน ต้องอ่านอยู่ตลอดเวลาเลย ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ก็เหมือนเรียน เลยเหมือนทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย จริงๆเราไม่คิดว่าเราจะมีนิสัยแบบนี้เลยนะ เพราะว่าตอนเรียนก็ขี้เกียจจะตาย โดดเรียนเป็นประจำ ไม่เห็นมีความกระตือรือร้นเรื่องเรียนเลยอ่ะ งงตัวเองเหมือนกันแฮะ แต่จริงๆอาจจะเพราะนิสัยนี้ก็ได้ ที่ทำให้ได้รับความไว้วางใจ + ความนับถือจากคนในบริษัทมากๆ ในทุกๆแผนก คิดย้อนไปเมื่อตอนที่เข้าบริษัทใหม่ๆเนี่ยะ เวลาเิดินไปไหนก็จะถูกมองด้วยสายตาแบบว่า ไอ้หน้านี้เนี่ยะนะ ที่จะมาเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกในบริษัท (ตอนนั้นเข้ามาแล้วเป็น programmer คนแรกในบริษัทอ่ะ บริษัททำด้าน hardware เลยไม่เคยมีโปรแกรมเมอร์มาก่อน) แล้วต้องเขียน software ทางด้าน remote management (IPMI) ตอนนั้นคือเพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆ ประสบการณ์อะไรไม่มีเลย ท้อมากๆ แทบจะลาออกเลยนะ แต่หลังจากผ่านไปจนทำได้ มันก็ได้รับผลตอบแทนคุ้้มค่านะ อย่างน้อยเราก็รู้สึกดีกับตัวเองมากๆ
โหนะ นอกเรื่องไปความหลังเมื่อสามปีกว่าๆที่แล้วเฉยเลย จะบอกว่าตอนนี้เรื่องที่ทำให้เครียดน่าจะเป็นเรื่องเตรียมตัวกลับเมืองไทยมากกว่า เพราะว่ามีเวลาอีกประมาณสองเดือน ต้องเตรียมตัวหลายอย่างมากๆ ทั้ง pack ของ ติดต่อบริษัท shipping ขายรถ หาตั๋วเครื่องบิน จัดการ accounts ต่างๆที่มีอยู่ จัดการเคลียร์งาน แล้วก็ยังต้องคุยกับที่ทำงานต่อไปว่าเราจะได้ทำงานให้บริษัทต่อไปหรือเปล่า เพราะว่าได้คุยกับบอสไปเมื่อเดือนก่อน เค้าบอกว่าเค้าจะคุยกับไดเรคเตอร์อีกคนให้ เพราะว่าอยากให้เราทำงานกับบริษัทต่อไป อาจจะต้องทำหน้าที่หลายอย่าง คือเป็น consultant + field sales & systems engineer คือต้องเดินทางในบางทีด้วย แต่ว่าเค้าก็ยังการันตีไม่ได้ เพราะว่าเค้าต้องคุยกับคนผู้บริหารคนอื่นอีก เพราะว่าเค้าก็ไม่เคยมีพนักงานที่ทำงานในตำแหน่งนี้ แบบนี้มาก่อน เราเลยจะกลายเป็นคนแรกอีกแล้ว นี่เราก็เป็น programmer คนแรกของบริษัทไปแ้ล้ว แล้วก็เป็นคนแรกที่ทางบริษัทต้องทำ visa ทำงานให้ แล้วนี่ก็จะเป็น FSE คนแรกของบริษัทอีก (ถ้าได้อ่ะนะ) แต่ที่กลุ้มใจคือไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่านี่สิ ไม่ชอบควาามรู้สึกแบบนี้มากๆ เพราะมันทำให้เราแพลนอนาคตเราไม่ถูก คืออยากรู้ให้แน่นอนไปเลย ว่าจะเอาไงกับช้านฟะ แต่ก็นะ เค้าคิดอยากให้เราทำงานกับเค้าต่อไปนี่ก็ทำให้ประทับใจได้ระดับนึงเหมือนกันล่ะ นี่ยังไม่รวมเรื่อง stock options ที่ต้องจัดการอีก แล้วก็ยังมีเรื่องดีเทล์ปลีกย่อยในแต่ละเรื่องที่ทำให้กลุ้มใจอีก เฮ่อ แต่พอถึงเวลาที่มันกระชั้นจริงๆ เราคงปล่อยๆหว่ะ เหมือนที่เราทำบ่อยๆ 5 5 5 ปกติพอจวนตัวก็นะ ทำเท่าที่ทำได้ให้ดีที่สุด อะไรที่ไม่ไหวก็ปล่อย (เช่นการ pack ของเป็นต้น ถ้าขี้เกียจ pack จัด อาจจะบริจาคเรียบ)
แต่จะบอกว่าพอรู้สึกว่าต้องกลับเมืองไทยแล้วก็เหมือนตัวเองเบื่อการทำงานขึ้นมาดื้อๆยังไงอยู่ ไฟเริ่มหาย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทำงานหนักมากๆติดๆกันมานาน เลยล้า หรือว่าเพราะไม่อยากสนใจแล้วก็ไม่รู้ดิ ตอนนี้เวลาว่างก็อ่านหนังสือนะ ทั้ง magazine ทังหนังสือทั่วไป ตอนนี้เริ่มอ่านหนังสือพวก nutrition คืออยากรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อยากรู้วิธีดูแลสุขภาพให้มากขึ้น ที่นี่เค้ากำลังโปรโมทการดูแลสุขภาพของตัวเองโดยการเลือกกินอาหาร + ออกกำลังกายให้ถูกต้อง เราเองก็ซื้อหนังสือพวกนี้มาอ่านสองสามเ่ล่ม ก็ได้ความรู้เยอะขึ้นเยอะดีนะ แต่จะทำหรือไม่ทำก็อีกเรื่อง 5 55 อย่างน้อยรู้ไว้ก็จะได้ไม่งง เพราะว่าเดี๋ยวนี้เวลาอ่านในเวบก็จะเจอศัพท์แปลกๆทางด้าน nutrition เนี่ยะ เยอะเลย ทั้ง Transfat, Saturated fat, Omega-3, 6, 9 ที่เค้าโปรโมทให้กินเข้าไปๆ รวมถึง basic ของการออกกำลังกายที่ถูกวิธีด้วย เราเริ่มออกกำลังกายในยิมมาได้ประมาณปีนึงแล้ว สังเกตความเปลี่ยนแปลงไ้ด้มากๆอย่างนึงเลยคือ เราไม่ป่วยอีกเลย เมื่อก่อนเราจะเป็นไข้ เจ็บคอ ไม่สบายทุกเดือนสองเดือน เซ็งมากๆ เพราะว่าเวลาเราไข้ขึ้นทีจะเป็นหนักเลยล่ะ แต่หลังจากออกกำลังกายแล้วเราไม่ป่วยอีกเลย เราว่าแค่นั้นก็คุ้มแล้วล่ะ เพราะเวลาป่วยทีเนี่ยะ มันทั้งรำคาญ ทั้งทรมาณนะ ยิ่งอยู่คนเดียว ไม่มีคนให้อ้อนด้วยเนี่ยะ ยิ่งไม่สมควรป่วยอย่างยิ่ง แห่ะๆๆ สมัยก่อนตอนอยู่เมืองไทยเวลาป่วยนอนซมอยู่กับบ้าน แม่จะทำข้าวต้ม + กับข้าวของโปรดเราจากที่อู่ แล้วให้คนงานเอามาส่งให้ที่บ้าน อร่อยเริ่ด ตอนนี้ก็คิดถึงอาหารเบสิคๆทั้งหลายนะ อยากกินข้าวต้ม โจ๊ก ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ข้าวหน้าเป็ด และที่ขาดไม่ได้ ไก่ทอดหาดใหญ่ ที่ไอ้น้องสุดที่รักมันดันเอามากินยั่วเมื่อคืน -_-" แต่ดีแฮะ ที่ร้านขายเนี่ยะ อยู่ตรงหน้าบ้านเราเลย คือเดินลงบันไดบ้านไป ก็ซื้อได้เลย รวดเร็วจริงๆ ไม่รู้กลับเมืองไทยไปคราวนี้จะอ้วนขึ้นหรือเปล่า แต่อย่างน้อยอาหารก็ไม่ได้เต็มไปด้วย ชีสกับเนยเหมือนที่นี่อ่ะนะ แต่เราก็มีแผนรับมือไว้แล้ว เพราะว่านัดกับเปิ้ลว่าจะไปออกกำลังกายด้วยกัน ทั้งไปยิม ตีแบด ตีเทนนิส ตีกอล์ฟ ฯลฯ แต่คือควบไปกับแพลนตระเวณกินด้วยนะ 5 5 5
โห เขียนมายาวเลย เอาไว้แค่นี้ก่อนละกัน สรุปว่าตอนนี้ก็ยังวุ่นวายเหมือนเดิม แต่เป็นช่วงที่ค่อนข้างจะปลงๆในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องงาน ถ้าไม่ได้ทำกับที่บริษัทต่อไปก้อไม่เป็นไร พยายามไม่หวังมากเหมือนกัน ยังไงขอสบายใจก่อนดีกว่า คือกลับเมืองไทยมันอบอุ่นกว่าอยู่ที่นี่มาก จริงๆแล้วเรื่องความก้าวหน้าในการทำงาน + เงินเดือนก็สำคัญนะ แต่สุดท้ายแล้วถ้ามีเงินแ่ต่รู้สึกว่างเปล่าในชีิวิตเนี่ยะ เราว่าเราขอเลือกว่าเราขอมีแค่พอใช้ แต่ขอความอบอุ่นทางใจดีกว่า ดูเป็นคนไม่ค่อยทะเยอทะยานเนาะ ไม่รู้เหมือนกันว่าสมัยนี้แล้วความคิดแบบนี้ยังจะอยู่รอดต่อไปหรือเปล่านะ แต่เราว่าหลังจากที่ผ่านอะไรมาหลายๆอย่าง สถานการณ์หลายๆแบบ บวกประสบการณ์การใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียว การทำงานเมืองนอก รวมๆประสบการณ์ทั้งหลายแล้ว เราได้ผลสรุปออกมาแบบนี้ แล้วเราก็คิดว่าไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่คิดแบบนี้ เพราะว่าเพื่อนๆพี่ๆที่เรารู้จักที่นี่หลายคนก็มีแพลนจะกลับเมืองไทยกันเกือบทุกคน ถ้าความก้าวหน้า + เงิน เป็นสิ่งสำคัญกว่าความรู้สึกทางใจ หลายๆคนรวมทั้งเราคงไม่ตัดสินใจกลับเมืองไทยกันแบบนี้หรอก …
Leave a Reply