ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะท่านแม่บอกว่าอยากไปฝรั่งเศส เพราะว่าฝรั่งเศสเป็นต้นกำเนิดของรถซีตรอง เจ๊อู่ซีตรองอย่างแม่เราเลยอยากจะไปเยือนถึงถิ่นสักครั้ง แต่นั่งเครื่องบินไปซะไกลขนาดนั้นทั้งที จะให้ไปแต่ฝรั่งเศสประเทศเดียวก็เสียเที่ยว เราเลยหาทัวร์แบบจัดเต็มให้ โดยมีเงื่อนไขคืองบประมาณไม่เกินคนละ 7-8 หมื่นและไปในช่วงสงกรานต์ เพราะยุโรปนี่ต้องไปหลายวัน แม่หยุดงานที่อู่ช่วงนั้นอยู่แล้ว รวมทั้งพวกเราเองก็ไม่ต้องลางานเยอะ ปีนี้ลาแค่วันที่ 16-17 เมษาฯ ก็จะได้หยุดตั้งแต่วันที่ 11-19 เมษาเลย เป็นเวลาที่เหมาะกับการเที่ยวทริปยาวๆมากกกกกก

หลังจากหาข้อมูลทัวร์อยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ไปได้โปรแกรมน่าสนใจมากจาก thaifly.com เป็นโปรแกรมเที่ยวฝรั่งเศส-สวิสฯ-อิตาลี-อียิปต์ เห็นแล้วสนใจทันทีตรงที่ได้เที่ยวอียิปต์ด้วยนี่แหล่ะ แต่ต้องเดินทางด้วยสายการบิน EgyptAir ที่ค่อนข้างเกรดต่ำกว่าสายการบินที่ไปยุโรปอื่นๆ แต่หลังจากเอาโปรแกรมไปขายผู้ร่วมทริปทุกคนแล้ว ทุกคนยอม เพราะก็อยากไปอียิปต์กันสักครั้งเหมือนกัน สรุปเราเลยจองทัวร์นี้ไปตั้งแต่เดือนมกราฯ 2015 (จองเดือนมกราฯ เดินทางเมษาฯ ก็จริงนะ แต่ตอนจองนี่คือทัวร์เต็มแล้ว!!) การจองคือเริ่มจากโอนค่าจองคนละ 15000 บาท ให้ทัวร์ก่อน แล้วจ่ายส่วนที่เหลือก่อนเดินทางประมาณ 20 วัน โดยทริปนี้ที่เราไป ค่าทัวร์คนละ 77,900 บาท ราคานี้เพราะไปช่วง high season ถ้าไปช่วงอื่นก็จะลดไปได้อีกคนละ 3-4 พัน

หลังจากไปทริปแล้วก็มารู้ทีหลังจาก guide ว่า thaifly.com เป็น 1 ใน agency ที่ส่งต่อให้เจ้าใหญ่คือ MS Vacation อีกที แต่ราคาก็เท่ากัน จนท.ที่ดูแลประสานงานทุกๆเรื่องให้เราที่ Thaifly ชื่อคุณจันทร์ บริการดีมาก ตอบคำถามเร็ว ประทับใจ โดยทาง Thaifly ช่วยดูแลเรื่องเอกสารในการขอวีซ่าทุกๆอย่าง รวมทั้งช่วยตรวจเอกสารให้พร้อม ก่อนจะพาเราไปทำ Schengen Visa ที่สถานทูตฝรั่งเศสด้วย ที่ต้องไปสถานทูตเองก็เพราะว่าต้องไป scan ลายนิ้วมือด้วยตัวเอง ถ้าเป็นปีก่อนนี้ไม่ต้องไปเอง ทางทัวร์สามารถจัดการแทนเราได้เลย หลังจากไปทำเรื่องขอวีซ่าแล้ว รอประมาณ 2 อาทิตย์กว่าๆก็ได้ผลวีซ่า เรากับแม่ได้คนละ 1 ปี ส่วนเปิ้ลกะโดมได้คนละ 3 เดือน … กำลังคิดว่าต้องแพลนทริปที่ใช้ประโยชน์จากวีซ่านี้ภายในอีก 1 ปีนี้ซะละ เพราะวีซ่าเชงเก้นที่ยังไม่หมดอายุสามารถเอาไปใช้ได้ในอีกหลายๆประเทศที่ปกติต้องขอวีซ่าด้วย shy

10 April 2015

ตามกำหนดการเครื่องบินจะออกตอน 00:55 ของเช้าวันที่ 11 April แต่ทางทัวร์บอกว่าให้ออกจากบ้านเร็วหน่อยวันนี้เพราะคนเดินทางเยอะมาก + รถติดเลยรีบออก สรุปรถจากบ้านเราไปไม่เห็นติดเลย ไปถึงตั้งแต่ 21:00 แต่จนท.ทัวร์ก็รออยู่แล้ว เตรียมพาสปอร์ตพร้อมโปรแกรมการเดินทางใส่ซองไว้ให้ทุกๆคนเรียบร้อย แต่ตอนนั้น counter check-in ยังไม่เปิด เลยไปทาน S&P รองท้องกันก่อน

ทานเสร็จเดินกลับมา จนท.บริษัททัวร์ก็ยื่น boarding pass มาให้ บอกให้เอากระเป๋าไปโหลดได้เลย เออ มากับทัวร์นี่มันก็สบายตรงนี้แหล่ะ เอกสารแต่ละอย่างตั้งแต่ทำวีซ่าจนถึงเอกสารผ่านตม.นี่ไม่ต้องกรอกอะไรเองเลยสักกะอย่าง สบายมาก ติดใจตั้งแต่ทริปเกาะเชจูครั้งที่แล้วละ ^^ โหลดกระเป๋าเสร็จแล้วก็ผ่านด่านตรวจกระเป๋า ผ่านตม. เดินเล่น duty free แป๊บนึงแล้วไปกิน Burger King กันต่ออีกนะทั้งๆที่เพิ่งจะกิน S&P กันมา กะว่าอิ่มจัด จะได้หลับสบายแน่ๆละ เสร็จแล้วก็ไปนั่งรอขึ้นเครื่องที่ Gate จนได้เวลา boarding … และแล้วพอขึ้นเครื่องก็แอบผิดหวัง เพราะดันเป็นเครื่องรุ่นเก่า ไม่มี PTV แถมแอร์สายการบินนี้วิธีการพูดจาโหดๆ การบริการดูเหมือนงงๆไม่ค่อยมีระบบ ภาษาอังกฤษก็ดูไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไหร่ service mind สู้แอร์ฝั่งเอเชียไม่ได้เลย ส่วนอาหารก็ถือว่าโอเค รสชาติใช้ได้ ทั้งปลา ไก่ กุ้ง เนื้อ (ลองมาทุกแบบละ หลังจากต้องนั่งไป-กลับรวม 4 flight เพราะมีแวะเปลี่ยนเครื่องที่ Cairo) – ดูภาพใน Flight รวมๆได้ตอนท้าย Post นี้

suvarnabhumi airport

Flight จากกรุงเทพฯ-ไคโร ใช้เวลาราวๆ 10 ชม. หลังจากเครื่องออกแล้วประมาณชม.หน่อยๆก็จะเริ่มเสิร์ฟอาหารค่ำ กินเสร็จก็ต่างคนต่างนอนกันได้ ส่วนเราแอบเตรียมยาแก้เมาเรือมาด้วย ไม่ได้กลัวเมานะ แต่กลัวจะนอนไม่หลับ เดี๋ยวไปเที่ยวต่อไม่ไหว สรุปคือเอามากินให้มันง่วงนอนจะได้หลับยาว แล้วก็ช่วยได้ดีมากจริงๆนะ เพราะหลังจากกินเสร็จก็หลับยาวๆจนถึงเวลาอาหารเช้าเลย โดยพนักงานจะเสิร์ฟอาหารเช้าก่อนเครื่องถึงไคโรประมาณสองชั่วโมง พอมาถึงสนามบินไคโร ก็ต้องรอเปลี่ยนเครื่องอีกราวๆ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ไม่มีอะไรทำนอกจากกินอีกแล้วครับท่าน! เพราะในสนามบินนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้ดู พวกเราก็เลยไปนั่งหาอะไรกินที่ cafe จนได้เวลาขึ้นเครื่องต่อไปปารีส

11 April 2015

กว่าจะมาถึงสนามบิน Charles de Gaulle (CDG) ใน Paris ก็เกือบจะเย็นละ  ใช้เวลาบินจากไคโรประมาณ 5 ชม. โดยหลังจากออกจากสนามบิน ที่แรกที่ไปคือ Benlux เป็นที่ shopping ที่เดียวที่ได้ไปใน paris ที่นี่จะเป็น Duty Free คือซื้อโดยไม่ต้องจ่ายภาษี แต่เค้าจะออกใบเสร็จมาให้ เพื่อว่าตอนเราเดินทางกลับ เราต้องเอาไป stamp กับ custom ที่สนามบินแล้วเมล์กลับมาในซอง prepaid เพื่อให้เค้ารู้ว่าเราออกนอกประเทศไปแล้วจริง ไม่อย่างนั้นเค้าจะ charge credit card เราเป็นเงินเท่าภาษีที่เค้าไม่ได้คิดในตอนแรก (ฝรั่งเศส = 12%) … นี่ขนาดมีเวลาที่ Benlux แค่แป๊บเดียว ท่านแม่ เปิ้ล โดมก็จัด Long Champ ไปได้ทุกคนนะ แถมมีเวลาเดินออกไปหาของกินรอคนอื่นอีก (ใครไปแถวนั้นแนะนำเดินเลย Benlux ไปหน่อย ร้านขายเครปอร่อยมากกกกกกกกก!!!)

ออกจาก Benlux แล้วเดินข้ามถนนไปนิดเดียว ก็จะเจอ พิพิธภัณฑ์ลูฟ (Louvre Museum) แต่เสียดายที่ไม่ได้เข้าไป ได้แต่ถ่ายรูปอยู่ด้านหน้าตรงแถวๆ Pyramid ของ Museum ส่วนฝั่งตรงข้ามของพิพิธภัณฑ์คือ ประตูชัยการ์รูเซล (Arc de Triomphe du Carrousel) เสร็จจากที่นี่ก็เย็นแล้ว ที่ shopping ต่างๆก็ปิดหมดแล้ว (6 โมง – 1 ทุ่ม นี่ปิดกันหมดละ -_-) ไกด์เลยไปทานอาหารเย็น แล้วก็เข้าโรงแรมเร็วหน่อย (ประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ)

France

กลับถึงโรงแรม (คืนนี้เราพักกันที่เครือ Mercure) เอากระเป๋าไปเก็บกันเรียบร้อย พวกเราลงมานั่งที่ Bar ของรร. จัด Beer + Fries มาชิมให้หายเหนื่อยกันซะหน่อย จะได้หลับสบาย Fries ที่นี่อร่อยมากๆ ส่วนเบียร์ทั้ง 3 แบบที่ได้ลองนี่ต้องยกให้ Grimbergen ไปเลย รสชาติสไตล์ Hoegaarden เลย แทนกันได้สบายๆ

Beer Party in Europe

12 April 2015

Default การมาเที่ยวทั้งทริปนี้คือ 6-7-8 หมายถึง ตื่นนอน 6 โมงเช้า, ทานข้าว 7 โมง, ล้อหมุน 8 โมง มีบางวันหนักกว่าเจอ 5:30! แบบว่าเฮ้ยยย ยังกะตื่นไปรร.สมัยก่อน! แต่ก็เอาเหอะ เพื่อการเที่ยวแบบจัดเต็ม จะได้พลาดโปรแกรมให้น้อยที่สุดอ่ะนะ  วันนี้ที่แรกที่จะไปแบบพลาดไม่ได้ในการมา Paris คือ หอไอเฟล (Tour Eiffel) นั่นเอง

Europe_France_2 Europe_France_3

ถ่ายรูปจนสะใจแล้วก็ไปล่องเรือ Bateaux Mouches ในแม่น้ำแซน เพื่อชมกรุงปารีสกัน การล่องเรือใช้เวลาประมาณ 1 ชม. โดยจะได้เห็นสถานที่สำคัญๆในปารีสอย่าง หอไอเฟล, พิพิธภัณฑ์ลูฟ, โบสถ์โนตเตรอดาม, ฯลฯ ที่สำคัญแบบครบๆใน 1 ชม. วันนี้พอดีเป็นวันที่เค้าจัด Paris Marathon 2015 พอดี! เราเลยได้เห็นขบวนนักวิ่งจากในเรือด้วย โบกไม้โบกมือให้กำลังใจกันใหญ่เลย ถือเป็นวันดีเลยนะเนี่ยะ 😀

 Bateaux Mouches

หลังจากล่องเรือเสร็จก็ไปทานข้าวกลางวันกันที่แวร์ซาย จากร้านอาหารเราสามารถเดินต่อไปที่ พระราชวังแวร์ซาย (Château de Versailles) ได้เลย ที่นี่เป็นอีกที่ ที่พลาดไม่ได้เลยถ้ามาถึงปารีสแล้ว แค่เดินมาเห็นทางเข้าก็รู้สึกว่ามันอลังการฯมาก ชะแว้บนึกถึงหนังเรื่อง The Man in the Iron Mask ที่ Leonardo DiCaprio เล่นเป็น Louise XIV ขึ้นมาทันที (กลับมาเมืองไทยก็ขุดเอา DVD ที่มีอยู่มาดูซ้ำอีกรอบเลยนะ) เราเข้ามาที่นี่ทางไกด์ก็จะให้เครื่องที่ใช้ฟังบรรยาย คือเราใส่หูฟัง แล้วเดินตามไกด์ไป เค้าก็จะบรรยายให้ฟังว่าแต่ละห้องๆคือห้องอะไร แต่ละภาพนี่เป็นใครบ้าง คือถ้ามาเองก็ควรหารายละเอียดมาก่อนบ้างจะได้อินกับการเดินชม

พระราชวังแวร์ซาย (Château de Versailles)Europe_France_6

ออกจากแวร์ซายแล้วคณะเราก็ขึ้นรถนั่งยาวมุ่งหน้าไปเมือง Dijon กันเลย วันนี้จะเป็นอีกวันที่ได้เข้ารร.เร็วหน่อย พรุ่งนี้จะข้ามชายแดนจากฝรั่งเศสไปสวิสฯแล้ว คืนนี้พักที่รร. Novotel Dijon Sud และก็เหมือนเดิมคือมาถึงไม่ดึก เพราะงั้นต้องลองเบียร์ & Fries ที่ Bar ของโรงแรม Fries ที่นี่อร่อยอีกแล้ว ส่วนเบียร์นี่หลังจากชิมมาสองวัน confirm เลยว่า Grimbergen โดนใจที่สุด รสชาติใกล้เคียง Hoegaarden มากๆ

Beer and Fries Party in Europe

13 April 2015

6-7-8 ตามตารางเดิม ออกเดินทางจากเมือง Dijon ของฝรั่งเศส ข้ามพรหมแดนเข้าไปในสวิสฯกันวันนี้ เราจะฉลองปีใหม่ไทยกันบน Mount Titlis! :mrgreen: ไกด์บอกไว้ล่วงหน้าเลยว่าวันนี้ให้แต่งตัวจัดเต็มหน่อยเพราะจะเป็นวันที่หนาวที่สุด อากาศติดลบนะครับ!

การมาเที่ยวที่ต้องนั่งรถข้ามเมืองยาวๆแบบนี้ระหว่างทางไกด์ก็จะมีแวะจุดพักกลางทางให้เข้าห้องน้ำ กินกาแฟ ของว่างนะ อย่างวันนี้ไกด์ก็จะบอกว่าหาไรรองท้องไปก่อนนะครับ เพราะคงได้ทานข้าวสายเลย พวกเราเลยกินกันมาตลอดทาง ระหว่างทางที่นั่งรถมา พอเข้าเขตประเทศสวิสฯต้องบอกเลยว่าบรรยากาศแตกต่างกับที่ฝรั่งเศสเลย เพราะที่นี่ธรรมชาติเค้าสวยจริงๆ ดูวิวเพลินมาก ยิ่งพอได้เจอเทือกเขา Alps แล้วรู้สึกว่าประเทศนี้นี่มันเหมือนภาพวาดจริงๆ เหมาะกับการมา Honeymoon สำหรับคู่ที่ชอบความสงบมากๆ (แต่อาจจะน่าเบื่อสำหรับคนที่ชอบสีสันนะ) จริงๆเมื่อสักยี่สิบปีที่แล้วเราเคยมาที่สวิสฯครั้งนึงแล้ว ตอนนั้นมาทัวร์เหมือนกัน แต่ไป Route เนเธอร์แลนด์-สวิส-เยอรมัน จำได้ว่าประทับใจสวิสมากๆ

การจะไปที่ Mount Titlis เราต้องมาที่ Engelberg ก่อนเพื่อที่จะขึ้น Cable Car ไป 3 ระดับ เพื่อไปให้ถึงยอดที่ระดับความสูง 3,028 เมตร พอมาถึงชาวคณะทุกคนก็อดถ่ายรูปกันไม่ได้ ขนาดไกด์บอกแล้วว่าสายแล้ว ต้องรีบขึ้นเขากันแล้วนะ แต่ก็นะ วิวตรงหน้ามันสวยจริงๆนะ ^^
Switzerland Titlis

Cable Car ที่ต้องนั่งขึ้นไป มีทั้งแบบนั่ง 6 คน และแบบขนาดใหญ่ที่หมุน 360 องศา จุคนได้หลายสิบ ทั้ง 2 แบบได้ feeling ต่างกัน ชมวิวกันเพลินเลย ขึ้นไปถึงแล้วสิ่งแรกเลยคือทานอาหารกลางวัน เพราะเลทมากแล้ว (ตอนนั้นบ่ายสองกว่าละ)  หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วก็เริ่มโปรแกรมแรกคือไปเดินชมถ้ำน้ำแข็ง (Glacier Cave) … จริงๆบนนี้หนาวนะ แต่ไม่ได้หนาวมากมายขนาดไม่ไหว ที่จะหนาวที่สุดก็คือตอนเข้าไปในถ้ำน้ำแข็งนี่แหล่ะ ทุกคนที่มาห้ามลืมถุงมือกันเลยนะ ไม่งั้นจะแย่เอา

Switzerland Titlis

เดินเล่นในถ้ำน้ำแข็งไม่นาน (เพราะจริงๆมันก็ไม่มีอะไรเลย) ก็ออกมาไปถ่ายรูปต่อที่ลานหิมะด้านนอก เสียดายที่วันนี้หมอกลงค่อนข้างมาก เลยไม่ค่อยได้เห็นวิวเทือกเขาจากบนลานสกีนี้เท่าไหร่ แต่บรรดาลูกทัวร์ทุกคน ก็ดูสนุกกับการถ่ายรูปกันเหมือนเดิมนะ ท่านแม่เราก็เล่นหิมะใหญ่เลยเชียว ^^

Switzerland Titlis

Group เราอยู่บน Titlis กันเป็นกลุ่มสุดท้ายเลย พอลงจากที่นี่ก็เย็นแล้ว เราต้องย้อนกลับไปที่เมือง Lucerne เป้าหมายต่อไปของเรากัน โดยที่ไกด์ปล่อยเราอยู่กันที่ Lucerne ประมาณเกือบ 2 ชม. สำหรับคนที่ต้องการ Shopping พวกมีดพก, Chocolate, นาฬิกา, ของที่ระลึก ก็จัดได้ตรงนี้แหล่ะ โชคดีหน่อยที่ร้านค้าตรงนี้ปิดช้านิดนึง (ราวๆ ทุ่ม/ทุ่มครึ่ง) เลยพอจะมีเวลาให้เดินเล่นได้บ้าง แต่พอดีพวกเราไม่เน้น shopping มาก เลยขอไปลองต้นตำรับ Cheese Fondue ซะหน่อย ที่ร้าน Fondue House คือแบบว่าชีสที่นี่เข้มข้นมากๆๆ จริงๆนะ ทานคำแรกๆก็อร่อยดี หลายๆคำเริ่มคิดว่ามันข้นไป แถม set นี้ค่อนข้างแพง (มาก) กินกัน 4 คน โดนไป 150 CHF (คูณเรทประมาณ 35 ไป มื้อนี้ราวๆ 5000!) แถมทุกคนไม่ประทับใจอีกตะหาก คือแบบ original มันคงจะหนักหนาไปสำหรับคนไทยนะ 555+ แต่ถือว่าได้มาลองแล้วเว้ยยยย

Switzerland Lucerne

หลังจากนั้นก็ไปเดินเล่น ถ่ายรูปกันที่สะพานไม้ชาเปล (Chapel bridge) ซึ่งเป็นสะพานไม้เก่าแก่ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้กัน ภายในทะเลสาปมีทั้งหงส์และเป็ด ดูคุ้นกับคนมาก ส่วนด้านข้างสะพานไม้มีร้านนั่งชิลล์หลายร้าน ถ้ามีเวลามานั่งชิลล์ตอนเย็นๆคงจะดี

และที่สุดท้ายที่จะได้ไปก่อนกลับโรงแรมคือ อนุสาวรีย์สิงโตสะอื้น (Lion Monument) หรือ เลอเวนแดงก์มัล (Löwendenkmal) ซึ่งทางรัฐบาลฝรั่งเศสให้เป็นของขวัญแก่สวิส เพื่อเป็นการขอบคุณแก่ทหารสวิส 786 นายที่เสียชีวิตจากการปกป้อง พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารี อองตัวแนตต์ จากการสู้รบกับช่วงการปฎิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1792

Switzerland Lucerne

หลังจากนั้นก็หมดโปรแกรมวันนี้ละ กลับไปทาน Dinner กันที่โรงแรมตอนเกือบสามทุ่ม วันนี้นอนที่โรงแรม Grand Hotel Europe โรงแรมนี้อยู่ห่างจากแถวที่เราไป Shopping ไม่ไกลเท่าไหร่ เอาจริงๆเดินได้นะ ตัวโรงแรมค่อนข้างเก่าหน่อย เพราะเป็นโรงแรมเก่าแก่สร้างมานานแล้ว แต่เป็นสไตล์คลาสสิค และได้ rating ดีมาก ขนาดห้องอาหารยังดู hi-so มื้อ dinner ก็เสิร์ฟเป็น Full Course อีกตะหาก แถมอร่อยมาก! แต่ตัวห้องนอนจะค่อนข้างเก่ากว่าโรงแรมอื่นๆมาก เราว่าโรงแรมนี้เหมาะกับคนชอบบรรยากาศยุโรปจ๋าสไตล์คลาสสิคมากกว่า ส่วนเราชอบสไตล์ใหม่ๆ modern หน่อย เลยเฉยๆ อ่อ รร.นี้ถ้าจะใช้ Wifi ต้องเสียค่าใช้จ่ายคนละ 5 CHF ด้วย แต่รร.เมื่อสองคืนก่อนฟรี -_-!

14 April 2015

วันนี้ต้องตื่นกันตั้งแต่ 5:30 เพราะต้องเดินทางกันยาว หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ก็ขนกระเป๋าขึ้นรถตอน 7:30 วันนี้เราจะข้ามไปประเทศอิตาลีกันแล้ว ปลายทางวันนี้คือเมืองเวนิส (Venice) นั่นเอง นั่งรถไปแวะพักไปเรื่อยๆ กว่าจะถึงท่าเรือก็ราวๆ 4 โมงเย็นแล้ว จากท่าเรือใช้เวลาประมาณ 20-25 นาทีก็จะไปถึงเกาะเวนิส พวกเรานั่งเรือลำใหญ่ เหมาของกรุ๊ปเราเลย เลยนั่งชิลกันบนชั้นดาดฟ้าเรือดูวิว ถ่ายรูป & เซลฟี่ กันแบบสบายๆ

Venice, Italy

ที่ Venice นี่เราจะมีเวลาอยู่กันประมาณ 3 ชม.นิดๆ โดยจากท่าเรือไกด์พาเดินเข้าไปที่จัตุรัส St. Mark (St. Mark’s Square) ตรงนี้จะเป็นที่ตั้งของมหาวิหารซันมาร์โก St. Mark’s Basilica (Basilica di San Marco) รวมทั้งหอนาฬิกา ส่วนด้านหน้าจะเป็นลานกว้างมาก มี Cafe แจ๋วๆหลายร้าน น่านั่งมาก แต่พวกเราต้องตามไกด์ไปลงเรือ Gondola กันซะก่อน เรือนั่งได้ลำละ 6 คน ก็ชิลดี แต่ไม่ตื่นเต้น ส่วนน้ำในเวนิสนี่มีกลิ่นด้วยนะ น้ำก็ไม่ใส เอาจริงๆก็ไม่น่านั่งเท่าไหร่นะ ^^”

หลังจากนั่งเรือเสร็จก็จะเป็น Free time  พวกเราเดินเล่นสำรวจตรอกซอกซอย หม่ำ Gelato แม่กะเปิ้ล shopping ได้กระเป๋ากันไป พอมีเวลาเหลือก็ไปซื้อ LV (เดินเข้าไปในร้านเจอแต่คนไทย -_-) แล้วค่อยไปนั่งรอเวลานัดที่ร้าน Cafe ตรงจัตุรัส St. Mark โดมสั่ง Espresso แนวว่าอยากลองกาแฟอิตาลีแท้ๆ ส่วนเรายังไม่หนำใจไอติม ขอสั่งอีกสั่งที่นะ มาอย่างดูดี อร่อยเลย หม่ำกันเสร็จก็รีบจ้ำไปที่ท่าเรือจุดนัดหมาย ขากลับพระอาทิตย์กำลังตกพอดี บรรยากาศโรแมนติกมากกกกก … โดยรวมแล้วเราไม่ได้ติดใจอะไรเวนิสนะ คืออยากมา มาแล้วรู้สึกว่าเออดีนะ แต่ไม่ได้อยากกลับมาอีก … อ่านแล้วงงมะ 555?? ผิดกับท่านแม่เรา ดูจะติดใจที่เวนิสมากที่สุดในทริปนี้เลยเชียวนะ

Venice, ItalyVenice, ItalyVenice, Italy

เราข้ามกลับมาจากเกาะเวนิสกลับมาพักกันบนฝั่งที่โรงแรม Smart Hotel Holiday อาหารดึก (กว่าจะได้ทานก็สามทุ่มกว่าๆละ ^^”) คืนนี้เราทานกันที่รร.เลย เป็น Spaghetti, Steak ปลา และไอศกรีม ทุกอย่างอร่อย หมดนี่อิ่มจุก หมดสิทธิ์ไป drink ต่อกันเลยแหล่ะ

15 April 2015

วันนี้หลังจาก check-out จากรร.ก็นั่งรถยาวๆตรงดิ่งไปเมือง Pisa กันเพื่อกว่าจะไปถึงก็ราวๆเที่ยงกว่าๆได้เวลาทานข้าวพอดี ทางไกด์บอกว่าที่นี่เป็นจุดที่มีความเสี่ยงในการโดนล้วงมากโดยเฉพาะถ้าต้องไปรอขึ้นรถบัสไป Pisa วันนี้ทางทัวร์เลยจัดบริการพิเศษให้มีรถไฟที่คล้ายๆรถ Trolley มารับถึงหน้าร้านอาหารเพื่อไปส่งที่หอเอนเมืองปิซ่า (Torre pendente di Pisa / Leaning Tower of Pisa) 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกกันเลย

จากจุดที่รถไฟจอด เราต้องเดินเลียบร้านค้า-cafe ต่างๆไปที่ประตูหน้าเพื่อเข้าไปชมหอเอนฯที่อยู่ภายในในจัตุรัส Piazza Del Duomo โดยระหว่างทางเดินไปนี่จะมีร้านขายของที่ระลึกล่อตาล่อใจอยู่เยอะอยู่เหมือนกัน แต่แนะนำว่าควรรีบเข้าไปด้านในถ่ายรูปอะไรๆให้เสร็จก่อนดีกว่า ถ้าเหลือเวลาค่อยออกมาแวะ

Pisa, Italy

ถ่ายรูปกันอย่างสะใจจนได้เวลานัดแล้ว เราก็นั่งรถ Trolley กลับไปที่รถบัสเหมือนขามา จากเมืองปิซ่านี่เราจะตรงดิ่งเข้าไปที่ Rome กันเลย คณะเราออกจากที่ Pisa กันประมาณบ่ายสาม กว่าจะไปถึงรร.ที่ Rome นี่ก็ราวๆเกือบสองทุ่มแหน่ะ ทริปนี้นั่งรถกันเมามันส์จริงๆ คืนนี้เราพักกันที่ Best Western พอไปถึงรร.ก็ Check-in เอากระเป๋าไปเก็บก่อนแล้วค่อยไปทานข้าว (กว่าจะได้ทานก็สามทุ่ม!!) แล้วค่อยไปต่อ Night Tour Rome กัน จริงๆที่ต้องไป Night Tour กันก็เพราะว่ามีการเปลี่ยนโปรแกรมวันรุ่งขึ้น เพราะไกด์แจ้งว่าจากกำหนดการเดิมที่เราต้องขึ้นเครื่องไปอียิปต์กันตอน 6 โมงเย็น กลายเป็นทางสายการบิน EgyptAir เปลี่ยน Flight เป็นบ่ายสองแทน ทำให้เวลาใน Rome ของพวกเราสั้นไปอีก 4 ชม. !! ทางไกด์บอกว่าทางสายการบินขอชดเชยด้วยการ Offer Dinner Cruise บนแม่น้ำไนล์ให้ -_-” สุดท้ายเราเลยต้องมาเยือน Colosseum ที่เป็นอีก 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก กันตอนกลางคืนซะงั้น … แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้มาล่ะวะ (positive thinking มะ?)

ต่อด้วยน้ำพุเทรวี่ (Trevi Fountain) ที่พอจะรู้มาบ้างว่าปิดซ่อมอยู่ตั้งแต่ปีที่แล้ว (ทำไมการซ่อมน้ำพุมันยาวนานขนาดนี้?!) พอมาถึงแล้วถึงรู้ว่าน้ำพุนี้มันใหญ่มากกว่าที่คิดไว้มากเลยนะ (มาที่นี่แล้วนึกถึงการ์ตูนอีกเรื่องที่ชอบมากๆสมัยเด็กเรื่อง มนต์รักกรุงโรม เคยอ่านกันป่าว อิ อิ)

Rome, Italy

ทางเดินเข้ามาที่น้ำพุนี้มีร้านน่าสนใจเยอะเลย ระหว่างทางเราแอบเล็งร้านพิซซ่าไว้ละ พอถ่ายรูปกับน้ำพุเสร็จแล้วเราเลยไม่พลาดที่จะวิ่งเข้าไปซื้อเอาไปกินต่อบนรถ (นี่ขนาดเพิ่งกินข้าวเย็นกันมา และ ณ ตอนนั้นก็สี่ทุ่มกว่าแล้วนะ!) เพราะดูจากโปรแกรมที่ไกด์บอกแล้ว เราคงไม่มีโอกาสแวะร้านไหนอีกแน่ๆใน Rome แต่มาถึงที่ Italy แล้วถ้าไม่ได้ลองพิซซ่าเราคงคาใจไปมาก พิซซ่าที่นี่ถ้าไม่ได้สั่งแบบถาดนี่เค้าจัดตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมใหญ่ๆ พอเราสั่งแล้วเค้าจะเอาเข้าไปอบในเตา แล้วมาแบ่งเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กๆให้อีกที ตัวแป้งถือว่าทั่วไป แต่ตัวหน้าพิซซ่านี่คุณภาพสูงกว่าที่ไทยชัดเจน อย่างเช่นพาร์มาแฮมที่สั่งมานี่รสชาติแตกต่างกับ Parma เมืองไทยชัดเจนเลย แต่เอาโดยรวมแล้วเราว่าไปกินร้านอิตาเลี่ยนดีๆแถวสุขุมวิทก็อร่อยพอกันนะ แค่อาจจะไม่ได้อารมณ์อิตาเลี่ยนจ๋าเท่าบุกมากินถึงถิ่นเท่านั้นเอง wondering

Pizza in Rome, Italy

จริงๆเราเสียดายมากนะที่โปรแกรมเปลี่ยน เพราะ Rome เป็นที่ที่เราอยากมาเดินเล่นมากเลย โดยเฉพาะย่านบันไดเสปน ที่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปเพราะต้องเปลี่ยนโปรแกรม T-T เอาวะ ไว้ค่อยมา Grand Italy ใหม่ก็ได้ เพราะก็เข้าใจทางทัวร์ที่พยายามจะชดเชยให้ด้วย Night Tour นะ อย่างคืนนี้กว่าจะหมดโปรแกรมกลับถึงรร.นี่ก็ห้าทุ่มกว่ากันเลยแหล่ะ

16 April 2015

โปรแกรมที่เหลือใน Rome วันนี้มีอย่างเดียวล้วนๆเลยคือไปมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Basilica) ในนครรัฐ Vatican พอไปถึงเราต้องไปต่อคิวเข้าแถวเพื่อเข้าไปในวิหาร ซึ่งแถวยาวมากๆๆๆ!! สุดท้ายเข้าคิวไปได้ราว 45 นาที ไกด์บอกว่าถอดใจเถอะ ไม่ทันแล้วจริงๆ เพราะต้องเผื่อเวลารถติดไปให้ถึงสนามบิน Fiumicino (Leonardo da Vinci International Airport, FCO) ตอนเที่ยงตรงให้ทัน ซึ่งก็ตัดสินใจถูก เพราะรถค่อนข้างติดเลยในโรม กว่าจะไปถึงสนามบินก็เที่ยงพอดี!

Vatican, Italy

สรุปว่าที่ Rome นี่พลาดจุดที่อยากไปจังๆ ทั้งบันไดเสปน, น้ำพุเทรวี่ (เพราะปิดซ่อม), เข้าชมภายในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ เลยกลายเป็นความคาใจว่าต้องกลับมาอีกที ครั้งหน้าต้องมาโปรแกรม Grand Italy แบบเจาะลึกไปเลยน่าจะดีกว่า

เครื่องบินออกจาก Rome ตอน 14:00 ถึง Cairo ตอนหกโมงหน่อยๆ ใช้เวลาบินประมาณ 4 ชม. สั้นกว่าตอนที่บินจาก Cairo -> Paris เพราะอิตาลีอยู่ใกล้กับอียิปต์มากกว่าฝรั่งเศส

หลังจากออกจาก Gate จะต้องรอพักนึงเพื่อให้ไกด์ดำเนินเรื่องขอ Group Visa สำหรับคณะทัวร์เราให้เสร็จ ระหว่างนั้นทางไกด์ก็บอกให้ลูกทัวร์ไปแลกเงินปอนด์อียิปต์ (EGP) ไว้ เพราะส่วนใหญ่จะแลกกันมาเป็นเงินยูโร แต่ในอียิปต์จะรับเงินแค่ 2 สกุลหลักๆคือ EGP กับ USD แต่เราก็แลก EGP ไว้ด้วย เผื่อเวลาต้องแจกทิปให้พนักงานหรือซื้อของเล็กๆน้อยๆ จะได้ไม่ต้องจ่ายเป็น USD อย่างเดียว

หลังจากรอสักพัก การทำวีซ่าก็เสร็จเรียบร้อย โดยที่ passport ของทุกคนจะถูกเก็บไว้ที่สนามบินจนถึงวันที่เรากลับ แปลกแต่ก็ดีเพราะเราก็ไม่ต้องคอยห่วงเรื่อง passport จะหายอีกระหว่างอยู่ที่นี่  เสร็จตรงนี้ก็ไปรับกระเป๋าแล้วก็รีบไปก็ขึ้นรถบัสที่ทาง EgyptAir จัดให้คณะเรา โดยระหว่างที่คณะเราอยู่ในอียิปต์ที่จะมีจนท./ทหารของทางอียิปต์เดินทางไปกับรถด้วย เพื่อดูแลความปลอดภัยแบบใกล้ชิด (มาพร้อมอาวุธด้วยนะ ^^”)

อย่างที่เกริ่นมาก่อนหน้านี้ว่าทาง EgyptAir เลื่อน Flight เรา เค้าเลยชดเชยให้ด้วยการแถมโปรแกรม dinner ล่องแม่น้ำไนล์ให้คณะเรา พวกเราออกจากสนามบินตรงดิ่งไปที่ท่าเรือเลย แต่รถค่อนข้างติด กำหนดการเรือออกตอนประมาณ 19:30  แต่กว่าเราจะไปถึงที่ท่าเรือกันก็ 19:45 แล้ว  พอคณะเราขึ้นเรือครบปุ๊บ เรือก็ออกปั๊บเลย

เรือที่นั่งวันนี้เป็นของ Scarabee  อาหารบนเรือจะเป็นแบบ Buffet รสชาติโอเคเลยสำหรับเรา คนที่ชอบพวกเครื่องแกงน่าจะทานได้สบายๆ ส่วนคนที่ไม่ชอบนี่อาจจะหาอะไรทานยากสักหน่อย

ระหว่างทานอาหารก็จะมีโชว์หลายๆแบบไปตลอดเวลา 2 ชม.ที่ใช้ในการล่องเรือ โดยที่นักแสดงนอกจากโชว์แล้วก็จะชวนแขกเข้ามามีส่วนร่วมด้วย รวมทั้งเดินไปถ่ายรูปกับแขกตามโต๊ะต่างๆ แล้วเดี๋ยวเค้าจะ print มาขายอีกที ถ้าสนใจก็ใบละ 5 USD

เรือมี 2 ชั้น เราจะนั่งทานอาหารดูโชว์กันชั้นล่าง ส่วนชั้นบนเป็นดาดฟ้าเรือ มีบาร์เครื่องดื่ม + ที่นั่งเล่นชิลๆ ชมวิวแม่น้ำไนล์ (ที่ให้ความรู้สึกเหมือนแม่น้ำเจ้าพระยาบ้านเรายังไงยังงั้น ^^”)  แต่เอาโดยรวม เราว่าโปรแกรมล่องแม่น้ำไนล์นี่โอเคเลย แถมแขกส่วนใหญ่(หรือทั้งหมด) ก็เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ การบริการถือว่าดี อาหารถือว่าดี (ดีกว่ามื้ออื่นๆที่เหลือในอียิปต์)  ถ้าได้มีโอกาสก็แนะนำให้มาลองกันนะ

Cruises along Nile River in Egypt

จบการล่องเรือก็ไป Check-in Grand Pyramid Hotel ที่อยู่ในเมือง Giza  รร.นี้อยู่ไม่ไกลจาก Pyramid ที่เราจะไปพรุ่งนี้เลย ตัวรร.ใหญ่มาก มีหลายอาคาร ถือว่าดูดีเลยแหล่ะ ห้องพักค่อนข้างใหญ่โตใช้ได้ แต่ออกจะเก่าๆ แถมระบบน้ำไม่ค่อย ok น้ำไหลเบาๆ เครื่องทำน้ำอุ่นใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วน Wifi มีให้ใช้ที่ lobby เท่านั้น (แต่ไม่เคยใช้ได้เลย คือ connect ได้แต่ใช้ไม่ได้ … สรุปก็เหมือนไม่มี! -_-“)

17 April 2015

วันนี้เราตื่นกันได้สายนิดนุง (6:30  😆 ) ลงไปทานอาหารเช้า แล้วก็ออกจากรร.ไปเที่ยวกันเลยโดยที่ฝากกระเป๋าใหญ่กันไว้ที่รร. เพราะ Local Guide บอกว่าถ้าเอากระเป๋าไปด้วย ต้องถือออกจากรถไปผ่านเครื่อง scan ทั้งหมด จะลำบาก เดี๋ยวเที่ยวเสร็จค่อยกลับมารับกระเป๋าที่รร.ดีกว่า

ที่เที่ยวที่แรกของวันนี้เป็นที่ที่เราอยากมามากที่สุดของทริปนี้เลย และก็เป็นที่ที่ตั้งใจมากๆว่าครั้งหนึ่งในชีวิตอยากจะมาสัมผัสให้ได้ คือ The Great Pyramid of Giza! อีก 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ได้มาเยือนในทริปนี้ (ค่าเข้าชม 80 EGP รวมอยู่ในค่าทัวร์แล้ว) ความอยากมาอียิปต์นี่มีมาตั้งแต่เด็ก จากการ์ตูนเรื่องคำสาปฟาโรห์ หลังจากนั้นก็ยังมีทั้งเรื่องราว สารคดี หนังต่างๆที่เกี่ยวกับอียิปต์ ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่อยากมาสุดๆ (แต่ก็ไม่ได้อยากมากถึงขนาดต้องมาอยู่เป็น trip ยาวเพื่อไปเที่ยว Luxor, Alexandria, หรือเมืองอื่นๆนะ เลยชอบทัวร์นี้ไง เอาแค่วันกว่าๆพอ 555)

ทุกคนตื่นตาตื่นใจ รีบออกไปถ่ายรูปกับ Pyramid กันรัวๆ ไม่น่าเชื่อว่าพอเดินเข้ามาใกล้ๆแล้ว หินที่เอามาสร้าง Pyramid มันจะสูงกว่าตัวคนอีก การก่อสร้างสมัยก่อนมันต้องเหนื่อย หนักโหดสุดๆจริงๆนะ สมแล้วที่ได้ list เป็น 1 ใน 7 wonders of the world

Pyramid, Giza, Egypt

หลังจากนั้นทางไกด์จะพาไปจุดที่ 2 เพื่อถ่ายกับ Pyramid แบบ Panorama ตรงจุดนี้ถ้าใครอยากขี่อูฐ ทางไกด์จะจัดการต่อรองให้ ของทัวร์เราได้ที่ราคาคนละ 13 USD ถือว่าถูกเลย เพราะว่าเราไม่ได้ขึ้นไปถ่ายรูปเฉยๆ แต่คนจูงอูฐจะพาเราขี่อูฐไปจนถึงบริเวณที่เห็น Pyramid เรียงกัน แถมยังเป็นตากล้องเอากล้องเราไปถ่ายรูปให้ด้วย (ไกด์กำชับมาว่า อย่าให้ใครถ่ายรูปให้เราเพราะกล้องอาจโดนขโมยได้ แต่ยกเว้นคนจูงอูฐที่สามารถให้เค้าถ่ายให้ได้) ประสบการณ์การขี่อูฐนี่ต้องบอกว่าประทับใจมาก อูฐสูงดี (แต่บางคนก็บอกว่าเสียวมาก น่ากลัว อันนี้น่าจะแล้วแต่คน) เวลาเดินนี่เราได้เห็นบรรยากาศทะเลทราย + Pyramid ในมุมสูง ชอบจริงๆ พอลงมาเลยต้องขอถ่ายรูปกับน้องอูฐไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย แถมน้องอูฐยังยิ้มให้ด้วยนะ ขี่กันแป๊บเดียวเป็นเพื่อนกันแล้ว XD ส่วนใครไม่อยากขี่อูฐ ก็มีรถม้าให้เลือกนั่งได้ด้วยเหมือนกัน

ออกจากจุดนี้ไกด์พาไปต่อกันที่จุดที่ 3 ที่เป็นอีก 1 Highlight ก็คือ Sphinx นั่นเอง อ่อ แต่ละจุดที่เราแวะ จะมีคนขายของเดินเข้ามาประกบขายนู่นนี่นั่นเราตลอดเวลา ถ้าสนใจซื้อก็ต่อให้เยอะๆๆๆมากๆไปได้เลย สัก 70% กำลังดี แต่ของที่ระลึกพวกนี้ทุกอย่างหาได้ที่ตลาด Khan el-Khalili ที่เราจะไปก่อนขึ้นเครื่องกลับน่ะล่ะ

Pyramid, Giza, EgyptPyramid, Giza, Egypt

หลังจากดู Pyramid, ขี่อูฐ, ดู Sphinx กันจนชื่นใจแล้ว ทางไกด์ก็พาไปจุดต่อไปคือร้านน้ำหอม ที่นี่จะขายหัวน้ำหอมที่เค้าว่าส่งออกไปให้ brand ดังๆทั่วโลก อย่าง CK, Armani, Dior, etc โดยที่จะมีคนมาบรรยายน้ำหอมแต่ละชนิดให้ฟัง แล้วก็จะมีพนักงานเอาตัวอย่างน้ำหอมแต่ละชนิดมาให้ลองเทสด้วย ถูกใจก็ซื้อกลับไปผสมเองได้ ขนาดก็มีทั้ง size เล็ก/ใหญ่ ระหว่างที่เค้าเริ่มบรรยาย เปิ้ลก็สะกิดบอกว่าอยากออกไปซื้อ KFC หน่อย พอดีตอนนั่งรถจะถึงร้านแอบเห็นมี KFC อยู่ใกล้ๆเลย เพราะดูจากอาหารเช้าและอาหารค่ำบนเรือเมื่อคืนแล้ว ท่าทางเปิ้ลจะไม่รอด 555+

ซื้อ KFC กลับมาเสร็จจนท.ก็ยังบรรยายไม่จบนะ แต่ทั้งแม่ โดม เปิ้ลก็ได้น้ำหอมกลับไปกันคนละกลิ่น (นี่ ณ เวลาที่เขียน Blog อยู่ยังไม่เห็นมีใครเอามาผสมและลองใช้เลย -_-!)

ออกจากร้านน้ำหอมก็กลับไปเอากระเป๋าที่รร. แล้วก็ไปทานอาหารกลางวันกัน เป็นอาหารจีน แต่รสชาติไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ สู้อาหารจีนฝั่งยุโรปไม่ได้ ลูกทัวร์ทุกคนรอดมาได้ด้วยไข่เจียวเป็นหลัก (แต่ทำไมเราก็ยังกินต่อไปได้วะ หรือเรามันลิ้นจรเข้?!?!?!)  ส่วนเปิ้ลกะโดมรอดไปได้เพราะเราจัด KFC ให้ไปคนละชุดก่อนมาละ เลยชิลๆ 555++

ต่อกันด้วยโรงงานทำกระดาษ Papyrus ที่นี่นี้จะมีขายทั้งรูปบนกระดาษ Papyrus รวมถึงมีจนท.มาบรรยายสรรพคุณและวิธีทำกระดาษด้วย แต่ยอมรับว่ารูปสวยจริงๆ ราคาก็ตามความใหญ่ ความยากของรูปนะจ๊ะ

ส่วนอีกที่ที่เป็น Highlight ที่เราอยากมามากเหมือนกันคือ Egyptian Museum or Museum of Cairo ที่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บวัตถุโบราณต่างๆ รวมทั้งมัมมี่ของฟาโรห์หลายๆพระองค์ ที่ต้องเสียค่าเข้าชมมัมมี่ต่างหากคนละ 100 L.E. ไม่รวมอยู่ในค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ (ค่าเข้าชมคนละ 75 L.E. อันนี้รวมอยู่ในทัวร์แล้ว) เสียดายที่เค้าไม่ให้ถ่ายรูปภายในเด็ดขาด เอากล้องติดตัวเข้าไปไม่ได้นะ ต้องฝากไว้ ส่วนมือถือเอาเข้าไปได้ แต่ห้ามถ่ายรูปนะจ๊ะ

พวกเราซื้อบัตรผ่านเข้าไปดูมัมมี่ที่ถูกใส่ไว้ในโลงแก้ว โดยจะรักษาอุณหภูมิไว้ (เท่าที่เห็นคือประมาณ 18 องศา C) สภาพมัมมี่ดีมากๆ ขนตายังอยู่ ฟันยังอยู่ ดูจากอายุส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยยืนเท่าไหร่ เฉลี่ย 40 กว่าๆเอง ว่าแต่ใครชอบเรื่องมัมมี่นี่แนะนำให้จ่ายเงินเพิ่มเข้ามาดูนะ ไหนๆมาถึงแล้ว

วัตถุโบราณ โลงศพ รูปปั้น ฯลฯ ทั้งหมดที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์นี่จริงๆควรต้องมีเวลาเดินดูนานมาก อยู่ได้ทั้งวันเลย คงต้องมาเอง และต้องมากับคนที่สนใจเรื่องพวกนี้เหมือนๆกันด้วยนะ ไม่งั้นคนมาด้วยคงเบื่อซะก่อน แต่พวกเราได้มีเวลาอยู่กันในนี้ประมาณชั่วโมงกว่าๆเอง ยังไม่จุใจ แต่ก็ไม่แย่มาก เพราะไกด์พาเดินชี้จุดสำคัญๆให้ก่อนที่จะปล่อยให้แยกย้ายไปเดินเล่นเอง (เราก็ใช้เวลาตรงนี้เข้าไปดูมัมมี่นี่ล่ะ)

Egypt Museum Perfume Papyrus

และจุดสุดท้ายที่จะไปหลังจากนี้คือตลาดข่าน (Khan el-Khalili) กว่าจะฝ่าฟันรถติดมาได้นี่ใช้เวลาเกือบชม.เพราะการจราจรแถวนี้มันสุดยอดจริงๆนะ ส่วนภายในตลาดมีตรอกซอกซอยเยอะมาก เรามีเวลาอยู่ที่นี่กันแค่ประมาณชม.เดียวก่อนจะไปขึ้นเครื่อง ไกด์เลยบอกว่าอย่าไปเดินไกลมาก เดี๋ยวหลงทางจะตกเครื่อง ส่วนใครไม่อยากเดินดูของ ก็นั่งรอที่ร้าน Cafe ตรงกลางจตุรัสได้เลย มีหลายร้าน สไตล์เดียวกัน ของที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกของที่ระลึกทั้งหลาย ราคาที่บอกมาก็ต่อไปเลยเยอะๆ อย่างน้อยเกิน 50% นะ ไม่งั้นจะเจ็บใจทีหลังได้ เราได้กระดาษ Papyrus เป็นของฝากเพื่อนๆ ส่วนแม่ก็ซื้อขวดน้ำหอมเป็น set กลับไป เจ้าโดมนี่เด็ดกว่า ได้ set baraku กลับไปด้วยอ่ะ o_O!
ตลาดข่าน Khan el-Khalili
จากนี้ก็ไปทานอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของทริปนี้กัน ที่ร้านอาหารไทย Sabai Sabai Thai Restuarant in Egypt ต้องบอกเลยว่าเป็นอาหารไทยที่อร่อยมากๆ รสชาติไทยจริงๆ แถมเจ้าของใจดีเติมกับข้าวให้เรื่อยๆจนอิ่มเลยแหล่ะ ใครไปอียิปต์แล้วคิดถึงอาหารไทย แนะนำร้านนี้เลย

ออกจากร้านก็ตรงดิ่งไปสนามบินกันละ สนามบินที่นี่คนไม่เยอะ พวกเรามีพื้นที่ Pack กระเป๋าเหลือเฟือมาก ไม่เหมือนตอนทริปเชจู ที่สนามบินเล็กๆ แถมต้องแย่งพื้นที่กับพวกทัวร์จีนอีก -_-!
Flight กลับนี่เจ๋ง ได้เป็นเครื่อง Boeing 777-300 มี PTV ซะที ปิดท้ายการเดินทางกับ EgyptAir ได้ดี แถม Flight นี้มีแอร์คนไทยด้วย การบริการดีขึ้นผิดหูผิดตา ต่างจาก Flight อื่นๆที่มีแต่แอร์แขก บินดิ่งกลับถึงสุวรรณภูมิกันตอนเที่ยงกว่าๆวันที่ 18 Apr ตามกำหนดการ ตอนจะผ่าน Custom ทุกคนในทัวร์ก็เสียวๆกันว่าจะโดนเรียกไหม บ้านเราไม่เท่าไหร่ซื้อไม่เยอะ แต่บางคนที่ซื้อเยอะๆนี่อาจหนาวได้ (เพราะไกด์มีขู่มาเรื่อยๆทั้งทริป ^^”) แต่สุดท้ายก็ผ่านออกมาฉลุยไม่โดนเรียกอะไรนะ

สรุปการไปทัวร์ทริปนี้
1. ภาพรวมสายการบิน EgyptAir – จาก 4 Flight ที่ได้นั่งมา Flight สุดท้ายที่บินจากไคโร-กทม. ได้เครื่องลำใหญ่ใหม่สุด มี PTV และช่องเสียบ USB เอาไว้ฟังเพลงหรือ Charge มือถือได้ (Flight MS 960, Boeing 777-300 ) ส่วน Flight อื่นๆเครื่องเก่ากว่า และไม่มี PTV การบริการยังขาดๆเกินๆ สู้สายการบินแถบ Asia เราไม่ได้เลย แต่ถ้าไม่คิดอะไรมาก ถือว่าโอเคนะ ไม่แย่ คนใน Flight ส่วนใหญ่เป็นเอเชียกะคนอียิปต์ (ไม่ก็แขกแถบๆนั้น) ไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ห้องน้ำสะอาดใช้ได้ อาหารโอเค ไม่มีเสิร์ฟ Alcohol โดยรวมเราว่าสายการบินนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่เรื่องมาก เน้นราคาที่ถูกกว่าสายการบินอื่นๆ อ่อ มีดีอีกอย่างคือสายการบินนี้อยู่ในกลุ่ม Star Alliances เหมือนการบินไทย เพราะงั้นก็สะสมไมล์ได้ด้วย ทริปนี้นั่งชั้นประหยัดไป-กลับ ได้มา 9 พันกว่าไมล์ ส่วนนน.กระเป๋าได้ 2 ใบ ใบละ 23 Kg
EgyptAir
2. ภาพรวมของโรงแรมในทริปนี้ 

ถึงในทัวร์จะนอนโรงแรมเครือที่ค่อนข้างมีชื่ออย่าง Novotel Dijon Sud, Mercure Paris Velizy, Best Western หรือรวมถึง Smart Hotel Holiday ใน Venice แต่สภาพโรงแรม รวมทั้งการบริการ ถ้าเทียบกับโรงแรมในบ้านเรา บอกว่าอยู่ในระดับ 3 ดาว เพราะว่าสภาพไม่ได้ใหม่มาก โรงแรมบางแห่งมี Free Wifi ในห้องพัก, มีน้ำดื่ม, บางโรงแรมก็ไม่มี ถ้าอยากใช้ต้องจ่ายราวๆ 5-7 Euro / Day (แชร์กันไม่ได้ด้วย) ลองเช็คดูราคาใน Agoda ก็ราวๆคือละ 3-4 พันบาท++ ยกเว้นแต่โรงแรม Grand Hotel Europe ที่สวิสฯ ราคาจองล่วงหน้าของโรงแรมนี้คือ 7000++ คือสองเท่าของโรงแรมอื่นๆในทริปนี้กันเลย เข้าใจแล้วว่าทำไมบ.ทัวร์ถึงจัดโปรแกรมนอนที่สวิสฯแค่คืนเดียว และทำไมทัวร์ Grand Switzerland ถึงแพงกว่าประเทศอื่นๆ  🙄

ส่วนโรงแรมที่ถูกที่สุดและใหญ่ที่สุดในทริปนี้ต้องยกให้ Grand Pyramids Hotel ใน Giza, Egypt เลย รร.นี้ตัวโรงแรมก็ใหญ่กว่าทุกที่ รวมทั้งตัวห้องก็กว้างมาก ลอง Check ราคาใน Agoda แล้วแค่ราวๆคืนละ พันบาท ++ เองล่ะ

 

ส่วนการยกกระเป๋านี่ไม่มี Bell Boy ทำให้ในทุกๆโรงแรม เราต้องยกขึ้นลงห้องพักเองทั้งหมด ยกเว้นแต่ตอนจะโหลดเข้ารถบัส นั่นทางคนขับรถจะช่วยยกขึ้นลงให้ เจอโรงแรมบางคืนไม่มี Lift นี่แย่หน่อย กล้ามขึ้นเลย

Hotels in Europe & Egypt

3. ภาพรวมของอาหาร

มื้ออาหาร 80% ของทัวร์นี้จะเป็นอาหารจีน แต่ก็ไม่ได้จีนจ๋ามากมาย เพราะเป็นอาหารที่คนไทยส่วนใหญ่ทานได้ หลายๆมื้อจะมีไข่เจียวกันเหนียวมาให้ด้วย 555+

  • อาหารเช้า zone ยุโรปนี่ต้องยกให้ฝรั่งเศสก่อนเลย ประทับใจครัวซองค์ อร่อยมากจริงๆ ปกติเราเฉยๆกับครัวซองค์นะ แต่ของเค้าอร่อยจริงๆ ส่วนนม, ชีส และไส้กรอกก็อร่อยหมด แต่ยกให้สวิสฯเป็นอันดับ 1 ด้านนี้ อาหารเช้าที่มีตัวเลือกน้อยสุดเป็นที่ Italy โดยส่วนใหญ่เน้นกาแฟ ขนมปัง เป็นหลัก ทางไกด์บอกตั้งแต่ก่อนมาละว่าที่อิตาลีเค้าทานกันแค่นี้จริงๆสำหรับมื้อเช้า … แต่เอาห่วยที่สุดนี่ต้องยกให้อียิปต์แหล่ะ อาหารเช้าที่พอทานได้จะเป็นพวกขนมปัง/cereal
  • ร้านอาหารทุกร้านที่พาไปรสชาติใช้ได้ไปจนถึงอร่อยหมด ทั้งร้านอาหารจีน และอาหารพื้นเมือง (ยกเว้นที่อียิปต์) แถมไกด์มีเตรียมน้ำจิ้ม, น้ำพริกมาให้ด้วย เพิ่มความแซ่บให้มื้ออาหารของบรรดาลูกทัวร์
  • อาหารที่อียิปต์นี่สำหรับคนที่ทานยากอาจจะทานแทบไม่ได้เลย แนะนำว่าให้เตรียมอาหารแห้งไปเผื่อบ้างเผื่อกรณีที่ทานไม่ได้เลยจริงๆ

เอาโดยรวมแล้วอาหารเกือบทุกมื้อโอเคเลย และให้มาปริมาณไม่น้อย ถือว่าใช้ได้เลย ท่านแม่ คุณน้องชาย และเปิ้ลทานได้ ถือว่าโอเคละ เพราะจริงๆแล้วเป็นคนทานยากทั้ง 3 คนเลยนั่น ^^”

Food in Europe and Egypt

4. ภาพรวมของทัวร์ Route นี้ (ฝรั่งเศส-สวิสฯ-อิตาลี-อียิปต์) 8 วัน 6 คืน

  • ราคา 77,900 บาท/คน (ราคาช่วงหน้าท่องเที่ยว ถ้าไม่ตรงวันหยุดยาวลดไปอีกคนละ 3-4 พันบาท) รวมค่าวีซ่าเชงเก้นและทิปคนขับรถแล้ว แต่ไม่รวมทิปหัวหน้าทัวร์ 900 บาท/คน ถ้าดูจากประเทศ/สถานที่ที่ได้ไปแล้วคุ้มมาก เอาจริงๆค่าตั๋วเครื่องบินไป zone ยุโรปอย่างเดียวก็ 3 หมื่นกว่าแล้ว ยังไม่รวมค่าเข้าสถานที่, ค่ารถ, ค่ากิน ที่รวมอยู่ในทริปหมดแล้ว แถมได้ไปอียิปต์ด้วย ชอบมากก็ตรงนี้ล่ะ
    • ทัวร์นี้เราจองผ่าน Thaifly.com แต่จริงๆแล้วทุกๆ Agency ที่ขาย Route นี้เค้าส่งต่อให้ MS-Vacation อีกที
    • Route นี้เท่าที่เห็นตอนช่วงเมษาจะมีสองแบบคือแวะอียิปต์ก่อนแล้วค่อยไปเที่ยวยุโรป กับแบบของเราคือไปยุโรปก่อนแล้วค่อยแวะอียิปต์
  • เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบเก็บ Detail ไม่เน้นชิล ไม่เน้น Shopping แต่ต้องการไปจุดสำคัญๆให้ได้มากที่สุด (ซึ่งเหมาะกับแม่เรามากกกก) เพราะเป็นการเที่ยวแบบชะโงกๆหน่อย มีเวลาแต่ละจุดไม่เยอะ แต่สำหรับเรากะเปิ้ลที่เคยไป Backpack มาเองหลายทริป ก็ยังคิดว่าทริปยุโรปนี่ไปกับทัวร์ก่อนดีกว่า เพราะเราสามารถไปได้ในเกือบทุกๆจุดสำคัญในเวลาที่เรามีแบบจำกัด ทำให้เรารู้ว่าเราชอบเมืองไหน ประเทศไหน เราจะได้แพลนในการกลับไปเก็บรายละเอียดที่นั้นๆได้เองทีหลัง (หรือไม่ก็ซื้อทัวร์เจาะลึกเลย เช่น Grand Italy, Grand Swiss ไรงี้)
  • เหมาะกับคนที่อยากไปเยือนอียิปต์สักครั้ง แต่ไม่ได้ต้องการเจาะลึก แค่อยากไปเห็น Pyramid ก็พอใจแล้ว แบบครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะถ้าซื้อทัวร์อียิปต์อย่างเดียว จะได้ไปเมืองอื่นๆด้วย ต้องอยู่ 4-5 วันเป็นอย่างน้อย ราคาทัวร์ก็ราวๆ 4 หมื่นบาท จากที่เราไปมานี่บอกได้เลยว่าไม่ได้อยากอยู่หลายวันขนาดนั้น เอาแค่วันกว่าๆนี่กำลังดีละ มันเป็น feeling ที่อิ่มกำลังดี ประทับใจ
  • รถที่ใช้บริการค่อนข้างใหม่ สะอาด เวลาที่จอดตามจุดต่างๆเราสามารถเอาของไว้บนรถได้ ไม่ต้องขนลงไป ทำให้ทุ่นแรงตรงนี้ได้เยอะเลย ระหว่างเดินทางไกลๆข้ามเมือง ข้ามประเทศ ไกด์จะหยุดรถให้ break เข้าห้องน้ำ หาของกินเล่นทุกๆ 2-3 ชม. บ้านเราก็กินกันทุกจุดที่เค้าจอดน่ะล่ะ ^^”
  • ไม่เหมาะกับคนที่เน้น Shopping เพราะแทบไม่มีเวลา Shopping เลยจริงๆ
  • น้ำขวดต่างๆในทริปนี้แพงมาก อย่างโซนยุโรปนี่ถ้าซื้อตามจุดแวะพักทั่วๆไปราคาอยู่ราวๆ 1.5-2.5 Euro ทั้งน้ำเปล่าและน้ำอัดลม แนะนำว่าให้เก็บขวดเปล่าไว้ เพราะน้ำดื่มจากก๊อกของโรงแรมในยุโรปสะอาดมาก สามารถกรอกน้ำไว้ทานได้ กลับมาจากทริปนี้รักเมืองไทยเลย น้ำบ้านเราถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับหลายๆประเทศที่ไปมารวมถึงทางเอเชียอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง
  • ทัวร์แบบนี้ไม่เหมาะกับผู้สูงอายุหรือคนที่รักสบายเท่าไหร่ (คือต้องแข็งแรงในระดับนึง) เพราะบางที่ต้องเดินจากรถไป 3-4 ร้อยเมตร ต้องขึ้นๆลงๆรถทัวร์บ่อยๆ (ถ้ามีปัญหาเรื่องเข่าอาจจะลำบาก) รวมถึงต้องมีการย้ายโรงแรมทุกๆคืน (ไม่มีบริการขนสัมภาระให้ ต้องยกกระเป๋าขึ้น-ลงห้องเอง และบางโรงแรมไม่มีลิฟต์!!)
  • ทัวร์แบบนี้เหนื่อย ต้องตื่น 5:30-6 โมงเช้าทุกวัน เพราะต้องเดินทางอยู่ในรถค่อนข้างเยอะ ต้องวิ่งข้ามเมือง ข้ามประเทศกันทุกวันตามโปรแกรม กว่าจะเข้าโรงแรมบางวันก็มี 4-5 ทุ่ม แถมต้อง pack กระเป๋าเตรียมย้ายโรงแรมในวันรุ่งขึ้นอีก ทริปนี้ลูกทัวร์อาศัยหลับเอาแรงต่อกันบนรถเอานะ
  • สิ่งที่ชอบในทัวร์นี้
    • ไม่ต้องแพลนทริปเองให้ปวดหัว
    • จำกัดงบประมาณได้ค่อนข้างแน่นอน เพราะทุกอย่างรวมในทัวร์เกือบหมดแล้ว ยกเว้นคชจ.ส่วนตัว + ค่าไกด์ 900 บาท
    • ทัวร์บริการดี ช่วยตรวจเอกสารขอวีซ่า + พาไปทำวีซ่า รวมทั้งกรอกเอกสารตม.ทุกสิ่งอย่างให้ด้วย
    • ไกด์คอยเตือนในทุกๆจุดที่มีความเสี่ยงในการโดนล้วง/ขโมย ทำให้ไม่ประมาท ทริปนี้ไม่มีใครของหาย
    • มีคนให้คอยถาม – จะซื้อไอ้นี่ได้ที่ไหน ประวัติของที่นี่เป็นยังไง อะไรอร่อย ส่วนถ้ามีปัญหาไกด์ก็จะคอยช่วย (อย่างมีลูกทัวร์คนนึงกระเป๋าหายไป ไกด์ก็ดำเนินเรื่องติดต่อให้เอากระเป๋าส่งตามมาให้ที่รร.)
    • ได้ไปจุดสำคัญต่างๆครบดี ด้วยเวลาที่มีเท่านี้ (ถ้าให้ไปเองให้ครบอาจจะต้องใช้เวลามากขึ้นอีกเท่านึง รวมทั้งงบที่มากขึ้นไปอีก แต่จะได้ความชิลมากกว่า เที่ยวแบบไม่เร่งรีบ)
    • ลูกทัวร์ด้วยกันนิสัยน่ารักทุกคน กลับมาแล้วก็เป็นเพื่อนกันใน Facebook ไปเรียบร้อย
    • ได้ไป 3 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกเลยนะ! (Pisa, Coloseum, Pyramid)
  • สิ่งที่ไม่ชอบ
    • ต้องทำใจว่าอาจจะพลาดบางโปรแกรมได้ ต้องเตรียมใจปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ (ทัวร์เราพลาดไม่ได้ไป ประตูชัย กับ ฌอง เอลิเซ่ รวมทั้งบันไดสเปน T-T)
    • แต่ละที่มีเวลาค่อนข้างจำกัด ไม่มีที่ไหนที่มีเวลาเดินเล่นชิลๆแบบมีเวลาเหลือเฟือ
    • ไม่มีเวลาให้สามารถแวะไปหาอะไรทานเองได้สักเท่าไหร่ เพราะแต่ละจุดมีเวลาน้อยมาก ส่วนใหญ่ได้แวะซื้อเฉพาะของกินเล่นล้วนๆ
    • นั่งรถกันจนเบื่อไปเลยแหล่ะ ดีที่วิวข้างทางสวย เลยเพลิน แถมเหนื่อยจากการตื่นเช้า + เที่ยว เลยหลับกันได้ซะส่วนใหญ่ 555++
  • โดยสรุปแล้วเรารู้สึกตัดสินใจถูกที่ไปทัวร์นี้นะ ลูกทัวร์ทุกคนก็คิดเหมือนกัน คือรู้สึกว่าโดยรวมโอเคเลย และคุ้มมากกับโปรแกรมทั้งหมดที่ได้ไป ไม่มีใครบ่นอะไร มีแต่ความประทับใจกันกลับมาล้วนๆ กลับมาปุ๊บก็เริ่มแพลนกันใหม่ละ ว่ายุโรปนี่ดีเนาะ ครั้งหน้าไปเก็บ zone ประเทศไหนดี 555++  :mrgreen:
  • ไกด์แอบบอกว่าอย่าเลือกทัวร์ Route ที่ไป 4-5 ประเทศนะ เพราะนั่นน่ะแทบจะกินนอนกันบนรถ นั่งรถกันทั้งวันยิ่งกว่าทริปนี้เยอะเลย อย่างมากเลยทัวร์แค่ 2-3 ประเทศพอแล้ว รับแซ่บครับ!
Comments